ผู้นำประเทศมุสลิมดันกฎคุมหมิ่นศาสนา “อาหรับ-ตะวันตก” รุมบีบอิหร่าน-ซีเรีย

เอเจนซีส์ - ผู้นำตะวันตกและโลกอาหรับ ใช้ที่ประชุมสมัชชาใหญ่ยูเอ็น เพิ่มแรงกดดันซีเรียและอิหร่าน ขณะที่มองต่างมุมเรื่องหนังต่อต้านอิสลาม “โอบามา”ประณามหนังเรื่อง แต่ยืนกรานไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงพร้อมเชิดชูเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ด้านประมุขชาติมุสลิมเรียงคิวสับ “เสรีภาพ” ที่อเมริกาสนับสนุน และเรียกร้องกฎสากลเพื่อลงโทษการดูหมิ่นเหยียดหยามศาสนา

ในการประชุมประจำปี 2012 ของสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในวันอังคาร (26) บัน คีมูน เลขาธิการยูเอ็น นำขบวนประณามการนองเลือดในซีเรียจากการต่อสู้ระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มกบฎติดอาวุธ ซึ่งถูกระบุว่ามีการทรมานประชาชนอย่างทารุณโหดร้ายเหมือนกับในสมัยกลาง

ผู้นำยูเอ็นเสริมว่า ความขัดแย้งในซีเรียถือเป็นภัยพิบัติภายในภูมิภาคที่มีผลกระทบต่อโลก เขาเรียกร้องให้นานาชาติร่วมกันหยุดยั้งความรุนแรงและการส่งอาวุธให้แก่ทุกฝ่าย รวมทั้งปูทางสู่การเปลี่ยนถ่ายอำนาจโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

ทางด้านประธานาธิบดีบารัค โอบามา ที่ถูกกดดันจากมิตต์ รอมนีย์ ผู้ท้าชิงทำเนียบขาว ก็ขึ้นกล่าวสำทับว่าบาชาร์ อัล-อัสซาด ต้องลงจากอำนาจเพื่อยุติการทำร้ายชาวซีเรียและเริ่มต้นยุคใหม่

เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เผยว่า เร็วๆ นี้อเมริกาจะประกาศการเพิ่มความช่วยเหลือกลุ่มกบฏซีเรีย แต่จะไม่มีการส่งอาวุธและกระสุนให้เด็ดขาด

ชีค ฮาหมัด บิน คาลิฟา อัล-ตานี ประมุขกาตาร์ ผู้สนับสนุนฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรีย เรียกร้องให้ชาติอาหรับเข้าแทรกแซงทางทหารเพื่อยุติการนองเลือด

ด้านประธานาธิบดีฟรังซัวส์ ออลลองด์ ของฝรั่งเศส เร่งเร้าให้ยูเอ็นประกาศพื้นที่คุ้มครองใน “เขตปลดปล่อย” ภายใต้การควบคุมของกลุ่มกบฏซีเรียเพื่อเปิดทางเข้าถึงสำหรับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม

นอกจากประเด็นซีเรียแล้ว โอบามายังกล่าวชัดเจนว่า “อิหร่านที่มีอาวุธนิวเคลียร์นั้นไม่ใช่เป็นความท้าทายที่สามารถควบคุมจำกัดวงได้” แต่สหรัฐฯถือว่ามันเป็นภัยคุกคามต่อการคงอยู่อิสราเอล, ความมั่นคงของประเทศอ่าวเปอร์เซีย และเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลก ดังนั้น จึงเรียกร้องบรรดาชาติพันธมิตรร่วมกันกดดันให้รัฐบาลอิหร่านรับผิดชอบ และสหรัฐฯ จะทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันไม่ให้เตหะรานมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง

ออลลองด์ขานรับโดยกล่าวหาว่า อิหร่านส่งอาวุธและกำลังคนให้อัสซาดในซีเรีย ซึ่งเป็นสิ่งที่รับไม่ได้

อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดีมาห์มูด อามาดีเนจัด ของอิหร่าน ที่อยู่ในนิวยอร์กเล้วและเตรียมขึ้นปราศรัยในยูเอ็นในวันพุธ (26) แสดงท่าทีเพิกเฉยต่อคำวิจารณ์ต่างๆ และยืนกรานว่า เตหะรานจะไม่ยุติโครงการนิวเคลียร์เพื่อสันติภาพที่ดำเนินการอยู่

ด้วยความที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีในสหรัฐฯ จะมีขึ้นใน 6 สัปดาห์ข้างหน้า โอบามาจึงถูกกดดันอย่างหนักในด้านนโยบายต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเสียงวิจารณ์กรณีการจัดการกับการสังหารนักการทูตอเมริกัน และการแสดงท่าทีเหินห่างจากอิสราเอล

การปราศรัยในที่ประชุมยูเอ็นครั้งนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่อลบล้างคำครหาเหล่านั้น รวมถึงการพยายามเข้าหาโลกมุสลิมอีกครั้ง หลังจากหนังดูหมิ่นศาสดามูฮัมหมัดก่อกระแสประท้วงต่อต้านอเมริกันในประเทศมุสลิมจำนวนมาก

โอบามากล่าวว่า การปฏิวัติอาหรับควรนำไปสู่การยกระดับมาตรฐานการครองชีพและประชาธิปไตยในตะวันออกกลางที่สอดคล้องกับค่านิยมของอเมริกามากขึ้น อย่างไรก็ดี แม้เขาประณามหนังเรื่องดังกล่าว แต่ผู้นำสหรัฐฯ ยืนกรานว่าไม่เห็นด้วยกับการก่อความรุนแรง

โอบามาประกาศว่า กลุ่มหัวรุนแรงติดอาวุธที่จู่โจมสถานกงสุลในเบงกาซีเมื่อวันที่ 11 ที่ผ่านมา และสังหารเอกอัครราชทูตอเมริกันประจำลิเบียตลอดจนเจ้าหน้าที่ทูตอีก 3 คน จะต้องถูกนำตัวมาลงโทษ และสหรัฐฯ ยังคงปกป้องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นไม่เปลี่ยนแปลง

ทางฝ่ายผู้นำมุสลิมจำนวนมากเรียกร้องให้มีมาตรการสากลเพื่อหยุดยั้งการดูหมิ่นศาสนา รวมถึงท้าทายจุดยืนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของโอบามาโดยตรง

ประธานาธิบดีซูซิโล บัมบัง ยุดโยโนแห่งอินโดนีเซีย ประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก อ้างปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของยูเอ็นที่ระบุว่า ทุกคนต้องเคารพศีลธรรมและระเบียบสาธารณะ “ดังนั้น เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นจึงไม่ใช่สิ่งสูงสุดแต่อย่างใด”

ขณะที่ประธานาธิบดีอาซิฟ อาลี ซาร์ดารีของปากีสถาน ประณาม “การยั่วยุให้เกิดการเกลียดชังต่อศาสนาอิสลาม” และว่าแม้ไม่อาจควบคุมความรุนแรงได้ แต่นานาชาติต้องไม่นิ่งเฉย ทว่า ควรดำเนินคดีอาญากับผู้ที่ทำลายความสงบสุขและความมั่นคงของโลกด้วยการนำเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นมาใช้แบบผิดๆ

ส่วนประธานาธิบดีโมฮัมเหม็ด มอร์ซีแห่งอียิปต์ ทิ้งท้ายว่า เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นควรมาพร้อมความรับผิดชอบ