เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทยที่ถูกกองทัพโค่นอำนาจเมื่อปี 2006 และอยู่ระหว่างหลบหนีคดีทุจริตในต่างประเทศ เปิดใจให้สัมภาษณ์สื่อชื่อดัง “businessweek” นิตยสารธุรกิจรายสัปดาห์ในเครือ “บลูมเบิร์ก” ของสหรัฐฯ โดยแสดงความเชื่อมั่นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงของไทยซึ่งเป็นน้องสาวของตน จะไม่ต้องเผชิญกับความขัดแย้งรุนแรงทางการเมืองเหมือนกับที่ตัวเขาเคยเผชิญจนนำไปสู่การถูกยึดอำนาจ พร้อมชี้ข้อสรุปในรายงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือ คอป. ภายใต้การนำของศาสตราจารย์ ดร.คณิต ณ นคร ที่ว่าตัวเขาต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับการเมืองนั้น เป็นเพียงความคิดเห็นของคนส่วนน้อยในประเทศที่ไม่ได้มีความสลักสำคัญ
อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย วัย 63 ปี ซึ่งอยู่ระหว่างการเดินทางเยือนสิงคโปร์ ในฐานะ “แขกพิเศษ” ของบริษัท “เทมาเส็ก โฮลดิงส์” ยักษ์ใหญ่ที่เป็นแขนขาด้านการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ เผยว่า รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์อาจล้มเลิกแผนการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ และหันมาพิจารณาแก้กฎหมายสูงสุดของไทยแบบรายมาตราแทนเพื่อลดแรงต่อต้านที่อาจนำไปสู่จุดจบของรัฐบาล ขณะเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณ ชี้ว่ามีความเป็นไปได้ที่อาจมีการชะลอแผนการออกกฎหมายนิรโทษกรรมออกไปก่อนจนกว่าจะถึง “เวลาที่เหมาะสม” แต่ไม่ยอมเปิดเผยว่าเวลาที่เหมาะสมดังกล่าวหมายถึงช่วงเวลาใด
พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งต้องเร่ร่อนอยู่ในต่างแดนนับตั้งแต่หลบหนีคดีทุจริตเมื่อปี 2008 อ้างว่า ถ้ารัฐบาลของน้องสาวไม่สามารถเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้ ก็จะถือเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่ง เพราะแรงต่อต้านที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องเผชิญนั้นไม่ต่างอะไรกับการที่รัฐบาลต้องทำงานอยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วย “กับระเบิด” ที่ต้องคอยระวังตัวอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไรก็ตาม แต่การหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ถือเป็นผลดีที่จะช่วย “ยืดอายุรัฐบาล” ของผู้เป็นน้องสาวให้สามารถบริหารประเทศยาวนานต่อไปได้ หลังจากที่ครองอำนาจมาแล้วกว่า 13 เดือน พร้อมกล่าวชื่นชม น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่าสามารถรับมือกับการเมืองได้ดีกว่าตัวเขา
อย่างไรก็ดี พ.ต.ท.ทักษิณเผยว่า แม้ความล้มเหลวของรัฐบาลในการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายนิรโทษกรรมจะส่งผลให้ตัวเขายังไม่สามารถกลับประเทศไทยได้ แต่ถึงกระนั้นตัวเขาก็ยัง “ไม่รีบร้อน” ที่จะเดินทางกลับบ้านเกิดเพราะขณะนี้เริ่มคุ้นเคยกับวิถีชีวิตในต่างแดนที่ต้องออกเดินทางในทุกๆ 3 วัน ไปยังที่หมายต่างๆ ทั่วโลกอย่างกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร, นครดูไบ ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมถึงเขตปกครองพิเศษฮ่องกง
เมื่อถูกซักถามในประเด็นเรื่องทรัพย์สินจำนวนกว่า 46,400 ล้านบาทที่ถูกยึดไปนั้น พ.ต.ท.ทักษิณยังคงยืนยันว่า ตัวเขาไม่ได้รับความยุติธรรม และไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างถูกต้อง ดังนั้นตนเองจึงมีสภาพไม่ต่างจากผู้ตกเป็น “เหยื่อ” ที่จำเป็นต้องได้รับการ “เยียวยา” เช่นกัน
ส่วนในประเด็นเรื่องรายงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือ คอป. ภายใต้การนำของศาสตราจารย์ ดร.คณิต ณ นคร ที่สรุปว่าตัวเขาต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับการเมืองนั้น พ.ต.ท.ทักษิณยืนยันว่า ข้อสรุปของ คอป.เป็นเพียงความคิดเห็นของคนส่วนน้อยในประเทศ ที่ไม่ได้มีความสำคัญ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ตัวเขายังเป็นที่รักของคนไทยส่วนใหญ่ พร้อมย้ำว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และผู้เกี่ยวข้องกับการสั่งปราบปรามการประท้วงของกลุ่มคนเสื้อแดงจะต้องถูกนำตัวมาดำเนินคดี
ในตอนท้ายของการให้สัมภาษณ์ที่สิงคโปร์ครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณเผยว่า เขาไม่อาจตัดทิ้งความเป็นไปได้ที่จะเกิดการยึดอำนาจขึ้นอีกในประเทศไทย และถึงแม้จะมีความพยายามในการยึดอำนาจเกิดขึ้นอีกก็คงจะไม่ประสบความสำเร็จโดยง่าย เนื่องจากคนไทยได้ตระหนักแล้วว่าการยึดอำนาจที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2006 ทำให้ชีวิตของพวกเขาย่ำแย่ลง