“เวิลด์ แบงก์”ชี้ราคาอาหารโลกพุ่งสูง ชี้สภาพอากาศเลวร้ายเป็นเหตุ พร้อมจวก “รบ.ปู” ทำกลไกราคาข้าวบิดเบี้ยว

เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-ดัชนีราคาอาหารของธนาคารโลก ปรับตัวพุ่งสูงขึ้นกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่คาดว่าทั่วโลกยังคงมีปริมาณของเมล็ดพันธุ์พืชอาหารมากพอ ที่จะหล่อเลี้ยงประชากรโลกในปีนี้ได้ โดยอาจไม่เกิดเหตุจลาจลเพื่อแย่งชิงอาหารซ้ำรอยเช่นที่เคยเกิดใน ทวีปแอฟริกา อเมริกาใต้ และในภูมิภาคตะวันออกกลางเมื่อปี 2008 พร้อมระบุ นโยบายด้านราคาข้าวที่สูงเกินจริงของรัฐบาลไทยภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่สอดคล้องกับกลไกตลาด

รายงานของธนาคารโลก ซึ่งมีฐานอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ของสหรัฐฯ และมีสมาชิกกว่า 188 ประเทศทั่วโลกระบุว่าราคาของพืชพันธุ์ธัญญาหารพุ่งสูงขึ้นแทบทุกชนิดคิดเป็นสัดส่วนราว 10 เปอร์เซ็นต์เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยราคาของข้าวโพด และข้าวสาลีในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 1 ใน 4 ขณะที่ราคาของถั่วเหลืองปรับตัวเพิ่มขึ้น 17 เปอร์เซ็นต์ มีเพียงข้าวเท่านั้นที่ราคาปรับตัวลดลงราว 4 เปอร์เซ็นต์

ข้อมูลของธนาคารโลกชี้ว่า สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาสินค้าธัญพืชแทบทุกชนิดพุ่งสูงขึ้นในช่วงดังกล่าวเป็นเพราะภาวะภัยแล้งในหลายพื้นที่ทั่วโลกโดยเฉพาะในแถบภาคตะวันตกกลาง (มิดเวสต์) ของสหรัฐฯ ที่ถือได้ว่ามีความรุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปีหรือครี่งศตวรรษ รวมถึงความเลวร้ายของสภาพอากาศในรัสเซียที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในแหล่งปลูกธัญพืชที่สำคัญของโลก

ในส่วนของราคาข้าวนั้น รายงานของเวิลด์ แบงก์ระบุว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ข้าวเป็นพืชอาหารเพียงชนิดเดียวที่มีราคาตกลงในช่วงที่ผ่านมา เป็นเพราะผลผลิตจำนวนมหาศาลและนโยบายด้านราคาข้าวที่สูงเกินจริงสวนทางกับกลไกตลาดของรัฐบาลไทยภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมถึงวิกฤตหนี้สินและการเงินในกลุ่มยูโรโซนที่ทำให้ความต้องการสั่งซื้อข้าวลดน้อยลง

อย่างไรก็ดี ธนาคารโลกเตือนว่า แม้ปริมาณพืชอาหารทั่วโลกในปีนี้ จะยังอยู่ในระดับที่เพียงพอหล่อเลี้ยงประชากรโลก และอาจไม่เกิดวิกฤตด้านอาหารเช่นเมื่อปี 2008 แต่ผลกระทบจากปรากฏการ์ “เอล นินโญ” ที่กำลังจะเริ่มชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ อาจทำให้พืชผลทางการเกษตรทั่วโลกได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก และจะผลักให้ราคาอาหารพุ่งสูงขึ้นจนกระทบกับวิถีชีวิตของผู้คนจำนวนมาก โดยภูมิภาคที่คาดว่าอาจได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์ดังกล่าวมากที่สุด คือ ออสเตรเลียที่อาจต้องเผชิญกับภัยแล้งรุนแรง และทวีปอเมริกาใต้ที่อาจต้องเผชิญภาวะน้ำท่วมที่รุนแรงกว่าทุกปีที่ผ่านมา