เอเจนซี/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร กล่าวในงานสัมมนาที่กรุงจาการ์ตาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้เป็นน้อง สามารถทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีได้ดีกว่าตนเองเสียอีก
น.ส.ยิ่งลักษณ์เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทยเมื่อปีที่ผ่านมา หลังคว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นเสมือนการทำประชามติว่าด้วยการปกครองในระบอบทักษิณ ซึ่งถูกกองทัพปฏิวัติโค่นอำนาจไปเมื่อปี 2006
“ครับ เท่าที่เห็นเขาก็ทำหน้าที่ได้ดีมาก ดีกว่าผมเสียอีก” ทักษิณให้สัมภาษณ์ในงานสัมมนาเปิดตัววารสาร Strategic Review เมื่อวันอังคาร (17) ที่ผ่านมา หลังผู้สื่อข่าวถามว่าคิดอย่างไรบ้างกับการปฏิบัติหน้าที่ผู้นำประเทศของน้องสาว
ทักษิณหลบไปพำนักอยู่ที่ดูไบเพื่อหลีกเลี่ยงโทษจำคุก หลังถูกศาลตัดสินมีความผิดในคดีคอร์รัปชันเมื่อปี 2008 ซึ่งเขาอ้างว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง
กระนั้นก็ตาม ยังมีชาวไทยจำนวนมากที่มองว่าอดีตมหาเศรษฐีโทรคมนาคมผู้นี้เป็นวีรบุรุษของคนยากไร้ด้วยนโยบายประชานิยมที่หลากหลาย อาทิ โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นต้น แต่นักวิจารณ์รวมถึงผู้นำฝ่ายทหารและผู้นำภาคธุรกิจต่างเล็งเห็นถึงพฤติกรรมทุจริตประพฤติมิชอบ และการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายระหว่างที่อดีตนายกฯ ผู้นี้ครองอำนาจ
พรรคฝ่ายค้านระบุว่า ทักษิณยังคงมีอิทธิพลอย่างสูงต่อรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แม้จะอาศัยอยู่ต่างประเทศก็ตาม ทั้งยังแวะเวียนมาปรากฏตัวในประเทศเพื่อนบ้านบ่อยครั้ง ขณะที่เจ้าตัวอ้างว่าทำหน้าที่เป็น “สารานุกรม” ให้รัฐบาลเท่านั้น
“ถ้าเขาต้องการคำปรึกษาจากผม ผมก็พร้อมเสมอ แต่ถ้าไม่ ผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปบังคับเขา นี่คือหน้าที่ของสารานุกรม” ทักษิณกล่าว
อดีตนายกฯ ลี้ภัยยังกล่าวด้วยว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยแผนแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ได้กระทบต่อการที่เขาจะเดินทางกลับไทยหรือไม่ พร้อมชี้ว่า เหตุที่ควรแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เพื่อให้มีความเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันถูกเขียนขึ้นหลังการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อปี 2006
“ผมอยากเรียนทุกๆ คนในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลรัฐธรรมนูญว่า ประเทศไทยต้องก้าวไปข้างหน้าในแนวทางประชาธิปไตย ไม่ใช่อย่างที่เป็นอยู่... มันไม่ส่งผลดีต่อประเทศชาติเลย”
ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า หากศาลตัดสินให้การเสนอแก้รัฐธรรมนูญขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ก็อาจนำไปสู่การสั่งยุบพรรคเพื่อไทย ทว่าศาลกลับเพียงชะลอความพยายามของรัฐบาลออกไปก่อน โดยตัดสินว่าการแก้ไขเพียงบางมาตรานั้นสามารถกระทำได้ แต่หากจะแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับต้องผ่านการทำประชามติเสียก่อน