(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
China floats towards space dominance
By Brendan O'Reilly
18/06/2012
ความสำเร็จของจีนในการนำยานอวกาศ “เสินโจว-9” ที่มีมนุษย์เป็นผู้บังคับควบคุม เข้าเชื่อมต่อกับห้องแล็ปอวกาศ “เทียนกง-1” เมื่อวันจันทร์(18 มิ.ย.)ที่ผ่านมา ต้องถือเป็นหลักหมายของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก้าวยักษ์ ในแผนการมุ่งไปสู่การก่อตั้งสถานีอวกาศของจีนเองขึ้นมาภายในปี 2020 ทั้งนี้ในปีเดียวกันนั้น สถานีอวกาศระหว่างประเทศ (ไอเอสเอส) ที่เกิดจากความร่วมมือของสหรัฐฯ, รัสเซีย, และชาติอื่นๆ น่าที่จะถูกปลดเกษียณหมดอายุการใช้งาน ในขณะที่จีนกำลังมองเขม้นไปที่เกียรติยศของการที่จะได้กลายเป็นตัวแทนมนุษยชาติแต่เพียงผู้เดียวในอวกาศในช่วงหลังปี 2020 ปักกิ่งย่อมสามารถที่จะวาดหวังผลกำไรทั้งทางวิทยาศาสตร์, การเงิน, และการทหาร จากโครงการอวกาศของตนที่กำลังขยายตัวไปเรื่อยๆ ขณะที่ความพยายามในเรื่องนี้ของชาติอื่นๆ ล้วนแต่กำลังหดตัวลงมา
*ข้อเขียนชิ้นนี้แบ่งเป็น 2 ตอน นี่คือตอนที่ 2 ซึ่งเป็นตอนจบ*
(ต่อจากตอนแรก)
**ผลประโยชน์จากอวกาศ**
คณะผู้นำจีนคาดหมายว่า การที่แดนมังกรกำลังขยายการลงทุนในเทคโนโลยีอวกาศดังที่กระทำอยู่นี้ น่าจะได้ผลประโยชน์อย่างน้อยที่สุดใน 4 ด้านสำคัญๆ
ด้านแรก การปรากฏตัวในวงโคจรรอบโลก เป็นสมรรถนะที่สำคัญมากในทางทหาร สาธารณรัฐประชาชนจีน ในฐานะที่เป็นชาติสมาชิกรายหนึ่งของคณะกรรมาธิการสหประชาชาติว่าด้วยการใช้อวกาศอย่างสันติ (United Nations Committee on the Peaceful Uses of Outer Space) และเป็นผู้ร่วมลงนามรายหนึ่งในสนธิสัญญาอวกาศ (Outer Space Treaty) ย่อมมีพันธะผูกพันที่จะต้องไม่นำอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นไปในอวกาศ อย่างไรก็ดี สนธิสัญญาอวกาศไม่ได้มีข้อห้ามไม่ให้ติดตั้งประจำการพวกอาวุธตามแบบแผน (conventional weapons) ในอวกาศ เมื่อปี 2007 จีนเคยดำเนินการทดสอบยิงขีปนาวุธต่อต้านดาวเทียม ซึ่งไม่ได้เป็นอาวุธนิวเคลียร์ ปรากฏว่าประสบความสำเร็จด้วยดี ถึงแม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ จีนนั้นแสดงเจตนารมณ์อันชัดเจนว่าต้องการหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการแข่งขันด้านอาวุธในอวกาศขึ้นมา แต่ถ้าหากรัฐบาลจีนรู้สึกว่ากำลังถูกคุกคามจริงๆ แล้ว โครงการอวกาศของจีนก็ย่อมสามารถใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในทางทหารได้
จีนก็เฉกเช่นเดียวกับรัสเซีย กำลังมีความกังวลมากเป็นพิเศษในเรื่องที่สหรัฐฯกำลังใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องไม่ยอมหยุด เพื่อติดตั้งประจำการสมรรถนะในด้านการต่อต้านขีปนาวุธนำวิถี (anti-ballistic missile capabilities) แดนมังกรนั้นมีขีปนาวุธนำวิถีข้ามทวีปอยู่ในครอบครอง เป็นจำนวนน้อยกว่ามหาอำนาจรายสำคัญอื่นๆ อยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ ระบบป้องกันขีปนาวุธที่สหรัฐฯกำลังขะมักเขม้นในการวิจัยพัฒนาและติดตั้ง จึงถือเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจในการป้องปรามทางนิวเคลียร์ยุทธศาสตร์ (strategic nuclear deterrence) ของจีน การมีสมรรถนะทางทหารประจำอยู่ในวงโคจรระดับต่ำรอบโลก (Low Earth Orbit) จึงอาจใช้มาเป็นมาตรการตอบโต้กับระบบป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐฯได้
ด้านที่สอง การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ถือเป็นแรงจูงใจอันสำคัญยิ่งประการหนึ่งสำหรับโครงการอวกาศที่กำลังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องของประเทศจีน ตลอดจนในการสร้างสถานีอวกาศขึ้นมาตามที่จีนวางแผนเอาไว้ ถ้าหากสามารถตั้งสถานีอวกาศ อันหมายถึงการมีมนุษย์ปรากฏตัวอย่างถาวรในวงโคจรระดับต่ำรอบโลก เหล่านักวิทยาศาสตร์จีนก็ย่อมสามารถเข้าถึงเงื่อนไขไร้น้ำหนัก (weightless conditions) เพื่อใช้ในการวิจัยทางชีวภาพและทางเคมีได้เป็นประจำ ยิ่งกว่านั้น ความสามารถเช่นนี้ยังจะสร้างโอกาสในการทำการสังเกตการณ์จักรวาลอันไกลโพ้น จากจุดที่มีระยะทางห่างโลก และในแบบที่ไม่ต้องผ่านตัวกลางที่อาจเป็นอุปสรรคขัดขวาง
ด้านที่สาม โครงการอวกาศของจีน (เหมือนๆ กับนโยบายจำนวนมากในปัจจุบันของประเทศจีน) ได้แรงขับดันจากแรงจูงใจทางเศรษฐกิจด้วย ศักยภาพทางเศรษฐกิจของอวกาศ ชนิดที่ยังไม่เคยถูกนำมาใช้กันเลยนั้นมีอยู่อย่างมากมายมหาศาล และศักยภาพดังกล่าวนี้ก็กำลังได้รับความสนใจจากฝ่ายต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ เที่ยวเดินทางอวกาศเชิงพาณิชย์กำลังกลายเป็นความจริงไปเรียบร้อยแล้ว ในเดือนเมษายนปีนี้เอง พวกผู้บริหารของกูเกิล ซึ่งต่างเป็นอภิมหาเศรษฐีร่ำรวยเกินหลักพันล้านดอลลาร์ กับ เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทแพลเนตารี รีซอร์สเซส อิงค์ (Planetary Resources Inc) ขึ้นมา บริษัทใหม่เอี่ยมแห่งนี้ประกาศภารกิจของตนเอาไว้ว่า เพื่อขุดสกัดแร่ธาตุจากดาวเคราะห์น้อย และ “เพิ่มเม็ดเงินเป็นหลายล้านล้านดอลลาร์ให้แก่จีดีพีของโลก” [5]
ผลการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ขององค์การการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (US National Aeronautics and Space Administration หรือ NASA) ค้นพบว่า เงินลงทุนจำนวน 2,600 ล้านดอลลาร์ ก็น่าจะเพียงพอแก่การสร้างยานอวกาศหุ่นยนต์ที่ “จับ” ดาวเคราะห์น้อยขนาด 500 ตันได้ และจากนั้นก็เคลื่อนย้ายมันไปที่วงโคจรรอบดาวจันทร์ แต่จะต้องทุ่มค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นอีกสำหรับการทำเหมืองเพื่อขุดสกัดแร่ธาตุจากดาวเคราะห์น้อยดังกล่าว และสำหรับการขนส่งแร่ธาตุกลับมายังโลก โครงการเช่นนี้สามารถดำเนินการได้ภายในระยะเวลาประมาณ 10 ปีโดยใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน
แพลเนตารี รีซอร์สเซส อิงค์ อาจจะมีความฝัน และนาซาอาจจะมีผลงานการวิจัย แต่จีนก็เป็นฝ่ายที่มีเงินสด รัฐวิสาหกิจของจีนบางแห่งในเวลานี้กำลังนั่งทับบนกองเงินทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนรัฐบาลจีนเองก็มีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศอยู่ในมือราวๆ 3 ล้านล้านดอลลาร์ ยิ่งกว่านั้น เศรษฐกิจที่กำลังเติบโตขยายตัวของแดนมังกร กำลังพึ่งพาอาศัยแร่ธาตุที่นำเข้าจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก จีนจึงอาจจะกลายเป็นเพียงประเทศหนึ่งเดียวในโลกที่มีทั้งเทคโนโลยี, ทรัพยากรทางการเงิน, และเจตนารมณ์ทางการเมือง ที่จะทำการลงทุนอันมีความเสี่ยงสูง (แต่ก็มีโอกาสทำกำไรได้สูงเช่นเดียวกัน) ในโครงการทำเหมืองในอวกาศ
ด้านสุดท้ายและบางทีอาจจะเป็นด้านที่สำคัญที่สุด โครงการอวกาศนั้นมีคุณค่าในเชิงสัญลักษณ์ที่สำคัญมาก ขณะที่สหรัฐฯลดทอนโครงการอวกาศประเภทดำเนินการโดยมนุษย์ของตนเองลง และสถานีอวกาศไอเอสเอสก็กำลังล้าสมัยไปทุกที จีนอาจจะกลายเป็นเพียงประเทศเดียวที่ยังเหลืออยู่ของโลกที่จะมีมนุษย์ไปปรากฏตัวอย่างเป็นเรื่องเป็นราวในอวกาศ ถึงแม้ในการแข่งขันด้านอวกาศในปัจจุบัน แดนมังกรอยู่ในอันดับ 3 ชนิดที่ถูกทิ้งห่างจากรัสเซียและสหรัฐฯ แต่การที่จีนสามารถเข้าสู่การแข่งขันได้ด้วยตนเองอย่างเป็นอิสระ ก็ได้สร้างความภาคภูมิใจอันยิ่งใหญ่ให้แก่ประชาชนในชาติ
วิธีการที่จีนตั้งชื่อทรัพย์สินทางอากาศของตน นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นพิเศษ เมื่อพิจารณาจากมิติด้านความเป็นสัญลักษณ์ของโครงการอวกาศของแดนมังกร ในตอนที่โครงการอวกาศของจีนเริ่มต้นถือกำเนิดขึ้นมาในยุคสมัยของเหมา เจ๋อตง จรวดขนส่งที่ใช้ในการส่งยาน ถูกขนานนามว่า “ฉางเจิง” (Long March การเดินทัพทางไกล) ตามชื่อของเหตุการณ์อันสำคัญยิ่งในมายาคติยุคปฏิวัติของจีน แต่ในโครงการอวกาศจีนช่วงสมัยปัจจุบัน ตราประทับยุคปฏิวัติได้ถูกแทนที่ด้วยตราประทับแห่งเทพนิยายลี้ลับยุคโบราณ
ยานอวกาศรุ่นปัจจุบัน ได้รับการขนานนามว่า “เสินโจว” ซึ่งพอจะแปลอย่างคร่าวๆ ได้ว่า “เรือเทพเจ้า” นอกจากนั้น “เสินโจว” ยังเป็นคำพ้องเสียงกับชื่อแบบกวีโบราณเก่าแก่ที่ใช้หมายถึงจีนเองอีกด้วย ขณะที่ยานโคจรรอบดาวจันทร์ลำแรกของจีนใช้ชื่อว่า “ฉางเอ๋อ-1” ก็เป็นการตั้งชื่อตามนามของเทพธิดาบนดวงจันทร์ในเทพนิยายของจีน และสุดท้าย เทียนกง-1 โมดูลห้องทดลองอวกาศของจีนที่กำลังโคจรรอบโลกอยู่ในเวลานี้ เป็นชื่อที่หมายถึง “วิมานสวรรค์”
เวลานี้กองทัพปลดแอกประชาชนจีน กำลังออกมาร้องขอคำแนะนำข้อเสนอแนะจากพลเมือง ในเรื่องชื่อของสถานีอวกาศที่วางแผนจะสร้างขึ้นมา หวัง เหวินเปา (Wang Wenbao) ผู้อำนวยการของสำนักวิศวกรรมอวกาศประเภทดำเนินการโดยมนุษย์แห่งประเทศจีน บอกว่า “สถานีอวกาศในอนาคตแห่งนี้ ควรที่จะมีชื่อเรียกขานที่มีพลังและส่งเสริมให้กำลังใจ ... เวลานี้พวกเรารู้สึกว่าควรให้สาธารณชนเข้ามาเกี่ยวข้องกับการตั้งชื่อต่างๆ และการกำหนดสัญลักษณ์ต่างๆ เนื่องจากโครงการที่สำคัญมากโครงการนี้จะส่งเสริมเพิ่มพูนเกียรติภูมิของประเทศชาติ และเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ความสำนึกในเรื่องการเกาะเกี่ยวรวมตัวกันในชาติและความภาคภูมิใจในชาติ” [6]
การปรับเปลี่ยนจากชื่อแบบปฏิวัติ มาเป็นชื่อแบบเทพนิยายลี้ลับ คือนโยบายที่ผ่านการขบคิดพิจารณามาแล้ว ในอันที่จะทำให้โครงการอวกาศของจีนมีมนตร์เสน่ห์ดึงดูดผู้คนวงกว้างได้มากขึ้น การผลักดันอย่างใหญ่โตมโหฬารเพื่อทำให้ภารกิจด้านอวกาศสร้างความประทับใจเพิ่มมากขึ้นเช่นนี้ มีจุดมุ่งหมายอย่างสำคัญในการสร้างความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในระหว่างชนชั้นต่างๆ ในสังคม, กลุ่มชาติพันธุ์อันหลากหลาย, และฝักฝ่ายทางการเมืองนานาในแดนมังกร โดยให้พวกเขารู้สึกภาคภูมิใจร่วมกันในผลงานความสำเร็จของประเทศชาติของตนเอง
รัฐบาลจีนได้ลงทุนไปมากมายในโครงการอวกาศของแดนมังกร และก็คาดหมายอย่างเต็มที่ว่าการตัดสินใจเช่นนี้จะได้รับผลตอบแทนอันคุ้มค่า ชัยชนะทั้งในเรื่องสมรรถนะทางทหาร, ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์, ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ, และผลทางจิตวิทยา คือดอกผลที่น่าจะได้รับจากโครงการอวกาศที่ประสบความสำเร็จ จีนอาจจะเป็นเพียงประเทศเดียวในโลกที่มีทั้งทักษะความชำนาญด้านเทคโนโลยี, เจตนารมณ์ทางการเมือง, และเงินสดสกุลแข็งในมือ ซึ่งจะทำให้มั่นใจได้ว่าการลงทุนในอวกาศของตนจะได้ผลตอบแทนอย่างแน่นอน
**หมายเหตุ**
[1] Shenzhou-9 set for launch, Global Times, Jun 11, 2012.
[2] China to send its first woman into space, The Guardian, Jun 11, 2012.
[3] Shenzhou-9 set for launch, Global Times, Jun 11, 2012.
[4] Canada renews pledge to International Space Station until 2020, Vancouver Sun, Mar 1, 2012.
[5] A Quixotic Quest to Mine Asteroids, The Wall Street Journal, Apr 23, 2012.
[6] China sets out space-station plan, asks public to name it, The Register, Apr 27, 2011.
เบรนดัน พี โอไรลีย์ เป็นนักเขียนและนักการศึกษาที่มาจากเมืองซีแอตเติล, สหรัฐอเมริกา แต่ปัจจุบันพำนักอยู่ในจีน เขาเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง
The Transcendent Harmony
China floats towards space dominance
By Brendan O'Reilly
18/06/2012
ความสำเร็จของจีนในการนำยานอวกาศ “เสินโจว-9” ที่มีมนุษย์เป็นผู้บังคับควบคุม เข้าเชื่อมต่อกับห้องแล็ปอวกาศ “เทียนกง-1” เมื่อวันจันทร์(18 มิ.ย.)ที่ผ่านมา ต้องถือเป็นหลักหมายของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก้าวยักษ์ ในแผนการมุ่งไปสู่การก่อตั้งสถานีอวกาศของจีนเองขึ้นมาภายในปี 2020 ทั้งนี้ในปีเดียวกันนั้น สถานีอวกาศระหว่างประเทศ (ไอเอสเอส) ที่เกิดจากความร่วมมือของสหรัฐฯ, รัสเซีย, และชาติอื่นๆ น่าที่จะถูกปลดเกษียณหมดอายุการใช้งาน ในขณะที่จีนกำลังมองเขม้นไปที่เกียรติยศของการที่จะได้กลายเป็นตัวแทนมนุษยชาติแต่เพียงผู้เดียวในอวกาศในช่วงหลังปี 2020 ปักกิ่งย่อมสามารถที่จะวาดหวังผลกำไรทั้งทางวิทยาศาสตร์, การเงิน, และการทหาร จากโครงการอวกาศของตนที่กำลังขยายตัวไปเรื่อยๆ ขณะที่ความพยายามในเรื่องนี้ของชาติอื่นๆ ล้วนแต่กำลังหดตัวลงมา
*ข้อเขียนชิ้นนี้แบ่งเป็น 2 ตอน นี่คือตอนที่ 2 ซึ่งเป็นตอนจบ*
(ต่อจากตอนแรก)
**ผลประโยชน์จากอวกาศ**
คณะผู้นำจีนคาดหมายว่า การที่แดนมังกรกำลังขยายการลงทุนในเทคโนโลยีอวกาศดังที่กระทำอยู่นี้ น่าจะได้ผลประโยชน์อย่างน้อยที่สุดใน 4 ด้านสำคัญๆ
ด้านแรก การปรากฏตัวในวงโคจรรอบโลก เป็นสมรรถนะที่สำคัญมากในทางทหาร สาธารณรัฐประชาชนจีน ในฐานะที่เป็นชาติสมาชิกรายหนึ่งของคณะกรรมาธิการสหประชาชาติว่าด้วยการใช้อวกาศอย่างสันติ (United Nations Committee on the Peaceful Uses of Outer Space) และเป็นผู้ร่วมลงนามรายหนึ่งในสนธิสัญญาอวกาศ (Outer Space Treaty) ย่อมมีพันธะผูกพันที่จะต้องไม่นำอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นไปในอวกาศ อย่างไรก็ดี สนธิสัญญาอวกาศไม่ได้มีข้อห้ามไม่ให้ติดตั้งประจำการพวกอาวุธตามแบบแผน (conventional weapons) ในอวกาศ เมื่อปี 2007 จีนเคยดำเนินการทดสอบยิงขีปนาวุธต่อต้านดาวเทียม ซึ่งไม่ได้เป็นอาวุธนิวเคลียร์ ปรากฏว่าประสบความสำเร็จด้วยดี ถึงแม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ จีนนั้นแสดงเจตนารมณ์อันชัดเจนว่าต้องการหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการแข่งขันด้านอาวุธในอวกาศขึ้นมา แต่ถ้าหากรัฐบาลจีนรู้สึกว่ากำลังถูกคุกคามจริงๆ แล้ว โครงการอวกาศของจีนก็ย่อมสามารถใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในทางทหารได้
จีนก็เฉกเช่นเดียวกับรัสเซีย กำลังมีความกังวลมากเป็นพิเศษในเรื่องที่สหรัฐฯกำลังใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องไม่ยอมหยุด เพื่อติดตั้งประจำการสมรรถนะในด้านการต่อต้านขีปนาวุธนำวิถี (anti-ballistic missile capabilities) แดนมังกรนั้นมีขีปนาวุธนำวิถีข้ามทวีปอยู่ในครอบครอง เป็นจำนวนน้อยกว่ามหาอำนาจรายสำคัญอื่นๆ อยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ ระบบป้องกันขีปนาวุธที่สหรัฐฯกำลังขะมักเขม้นในการวิจัยพัฒนาและติดตั้ง จึงถือเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจในการป้องปรามทางนิวเคลียร์ยุทธศาสตร์ (strategic nuclear deterrence) ของจีน การมีสมรรถนะทางทหารประจำอยู่ในวงโคจรระดับต่ำรอบโลก (Low Earth Orbit) จึงอาจใช้มาเป็นมาตรการตอบโต้กับระบบป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐฯได้
ด้านที่สอง การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ถือเป็นแรงจูงใจอันสำคัญยิ่งประการหนึ่งสำหรับโครงการอวกาศที่กำลังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องของประเทศจีน ตลอดจนในการสร้างสถานีอวกาศขึ้นมาตามที่จีนวางแผนเอาไว้ ถ้าหากสามารถตั้งสถานีอวกาศ อันหมายถึงการมีมนุษย์ปรากฏตัวอย่างถาวรในวงโคจรระดับต่ำรอบโลก เหล่านักวิทยาศาสตร์จีนก็ย่อมสามารถเข้าถึงเงื่อนไขไร้น้ำหนัก (weightless conditions) เพื่อใช้ในการวิจัยทางชีวภาพและทางเคมีได้เป็นประจำ ยิ่งกว่านั้น ความสามารถเช่นนี้ยังจะสร้างโอกาสในการทำการสังเกตการณ์จักรวาลอันไกลโพ้น จากจุดที่มีระยะทางห่างโลก และในแบบที่ไม่ต้องผ่านตัวกลางที่อาจเป็นอุปสรรคขัดขวาง
ด้านที่สาม โครงการอวกาศของจีน (เหมือนๆ กับนโยบายจำนวนมากในปัจจุบันของประเทศจีน) ได้แรงขับดันจากแรงจูงใจทางเศรษฐกิจด้วย ศักยภาพทางเศรษฐกิจของอวกาศ ชนิดที่ยังไม่เคยถูกนำมาใช้กันเลยนั้นมีอยู่อย่างมากมายมหาศาล และศักยภาพดังกล่าวนี้ก็กำลังได้รับความสนใจจากฝ่ายต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ เที่ยวเดินทางอวกาศเชิงพาณิชย์กำลังกลายเป็นความจริงไปเรียบร้อยแล้ว ในเดือนเมษายนปีนี้เอง พวกผู้บริหารของกูเกิล ซึ่งต่างเป็นอภิมหาเศรษฐีร่ำรวยเกินหลักพันล้านดอลลาร์ กับ เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทแพลเนตารี รีซอร์สเซส อิงค์ (Planetary Resources Inc) ขึ้นมา บริษัทใหม่เอี่ยมแห่งนี้ประกาศภารกิจของตนเอาไว้ว่า เพื่อขุดสกัดแร่ธาตุจากดาวเคราะห์น้อย และ “เพิ่มเม็ดเงินเป็นหลายล้านล้านดอลลาร์ให้แก่จีดีพีของโลก” [5]
ผลการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ขององค์การการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (US National Aeronautics and Space Administration หรือ NASA) ค้นพบว่า เงินลงทุนจำนวน 2,600 ล้านดอลลาร์ ก็น่าจะเพียงพอแก่การสร้างยานอวกาศหุ่นยนต์ที่ “จับ” ดาวเคราะห์น้อยขนาด 500 ตันได้ และจากนั้นก็เคลื่อนย้ายมันไปที่วงโคจรรอบดาวจันทร์ แต่จะต้องทุ่มค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นอีกสำหรับการทำเหมืองเพื่อขุดสกัดแร่ธาตุจากดาวเคราะห์น้อยดังกล่าว และสำหรับการขนส่งแร่ธาตุกลับมายังโลก โครงการเช่นนี้สามารถดำเนินการได้ภายในระยะเวลาประมาณ 10 ปีโดยใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน
แพลเนตารี รีซอร์สเซส อิงค์ อาจจะมีความฝัน และนาซาอาจจะมีผลงานการวิจัย แต่จีนก็เป็นฝ่ายที่มีเงินสด รัฐวิสาหกิจของจีนบางแห่งในเวลานี้กำลังนั่งทับบนกองเงินทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนรัฐบาลจีนเองก็มีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศอยู่ในมือราวๆ 3 ล้านล้านดอลลาร์ ยิ่งกว่านั้น เศรษฐกิจที่กำลังเติบโตขยายตัวของแดนมังกร กำลังพึ่งพาอาศัยแร่ธาตุที่นำเข้าจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก จีนจึงอาจจะกลายเป็นเพียงประเทศหนึ่งเดียวในโลกที่มีทั้งเทคโนโลยี, ทรัพยากรทางการเงิน, และเจตนารมณ์ทางการเมือง ที่จะทำการลงทุนอันมีความเสี่ยงสูง (แต่ก็มีโอกาสทำกำไรได้สูงเช่นเดียวกัน) ในโครงการทำเหมืองในอวกาศ
ด้านสุดท้ายและบางทีอาจจะเป็นด้านที่สำคัญที่สุด โครงการอวกาศนั้นมีคุณค่าในเชิงสัญลักษณ์ที่สำคัญมาก ขณะที่สหรัฐฯลดทอนโครงการอวกาศประเภทดำเนินการโดยมนุษย์ของตนเองลง และสถานีอวกาศไอเอสเอสก็กำลังล้าสมัยไปทุกที จีนอาจจะกลายเป็นเพียงประเทศเดียวที่ยังเหลืออยู่ของโลกที่จะมีมนุษย์ไปปรากฏตัวอย่างเป็นเรื่องเป็นราวในอวกาศ ถึงแม้ในการแข่งขันด้านอวกาศในปัจจุบัน แดนมังกรอยู่ในอันดับ 3 ชนิดที่ถูกทิ้งห่างจากรัสเซียและสหรัฐฯ แต่การที่จีนสามารถเข้าสู่การแข่งขันได้ด้วยตนเองอย่างเป็นอิสระ ก็ได้สร้างความภาคภูมิใจอันยิ่งใหญ่ให้แก่ประชาชนในชาติ
วิธีการที่จีนตั้งชื่อทรัพย์สินทางอากาศของตน นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นพิเศษ เมื่อพิจารณาจากมิติด้านความเป็นสัญลักษณ์ของโครงการอวกาศของแดนมังกร ในตอนที่โครงการอวกาศของจีนเริ่มต้นถือกำเนิดขึ้นมาในยุคสมัยของเหมา เจ๋อตง จรวดขนส่งที่ใช้ในการส่งยาน ถูกขนานนามว่า “ฉางเจิง” (Long March การเดินทัพทางไกล) ตามชื่อของเหตุการณ์อันสำคัญยิ่งในมายาคติยุคปฏิวัติของจีน แต่ในโครงการอวกาศจีนช่วงสมัยปัจจุบัน ตราประทับยุคปฏิวัติได้ถูกแทนที่ด้วยตราประทับแห่งเทพนิยายลี้ลับยุคโบราณ
ยานอวกาศรุ่นปัจจุบัน ได้รับการขนานนามว่า “เสินโจว” ซึ่งพอจะแปลอย่างคร่าวๆ ได้ว่า “เรือเทพเจ้า” นอกจากนั้น “เสินโจว” ยังเป็นคำพ้องเสียงกับชื่อแบบกวีโบราณเก่าแก่ที่ใช้หมายถึงจีนเองอีกด้วย ขณะที่ยานโคจรรอบดาวจันทร์ลำแรกของจีนใช้ชื่อว่า “ฉางเอ๋อ-1” ก็เป็นการตั้งชื่อตามนามของเทพธิดาบนดวงจันทร์ในเทพนิยายของจีน และสุดท้าย เทียนกง-1 โมดูลห้องทดลองอวกาศของจีนที่กำลังโคจรรอบโลกอยู่ในเวลานี้ เป็นชื่อที่หมายถึง “วิมานสวรรค์”
เวลานี้กองทัพปลดแอกประชาชนจีน กำลังออกมาร้องขอคำแนะนำข้อเสนอแนะจากพลเมือง ในเรื่องชื่อของสถานีอวกาศที่วางแผนจะสร้างขึ้นมา หวัง เหวินเปา (Wang Wenbao) ผู้อำนวยการของสำนักวิศวกรรมอวกาศประเภทดำเนินการโดยมนุษย์แห่งประเทศจีน บอกว่า “สถานีอวกาศในอนาคตแห่งนี้ ควรที่จะมีชื่อเรียกขานที่มีพลังและส่งเสริมให้กำลังใจ ... เวลานี้พวกเรารู้สึกว่าควรให้สาธารณชนเข้ามาเกี่ยวข้องกับการตั้งชื่อต่างๆ และการกำหนดสัญลักษณ์ต่างๆ เนื่องจากโครงการที่สำคัญมากโครงการนี้จะส่งเสริมเพิ่มพูนเกียรติภูมิของประเทศชาติ และเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ความสำนึกในเรื่องการเกาะเกี่ยวรวมตัวกันในชาติและความภาคภูมิใจในชาติ” [6]
การปรับเปลี่ยนจากชื่อแบบปฏิวัติ มาเป็นชื่อแบบเทพนิยายลี้ลับ คือนโยบายที่ผ่านการขบคิดพิจารณามาแล้ว ในอันที่จะทำให้โครงการอวกาศของจีนมีมนตร์เสน่ห์ดึงดูดผู้คนวงกว้างได้มากขึ้น การผลักดันอย่างใหญ่โตมโหฬารเพื่อทำให้ภารกิจด้านอวกาศสร้างความประทับใจเพิ่มมากขึ้นเช่นนี้ มีจุดมุ่งหมายอย่างสำคัญในการสร้างความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในระหว่างชนชั้นต่างๆ ในสังคม, กลุ่มชาติพันธุ์อันหลากหลาย, และฝักฝ่ายทางการเมืองนานาในแดนมังกร โดยให้พวกเขารู้สึกภาคภูมิใจร่วมกันในผลงานความสำเร็จของประเทศชาติของตนเอง
รัฐบาลจีนได้ลงทุนไปมากมายในโครงการอวกาศของแดนมังกร และก็คาดหมายอย่างเต็มที่ว่าการตัดสินใจเช่นนี้จะได้รับผลตอบแทนอันคุ้มค่า ชัยชนะทั้งในเรื่องสมรรถนะทางทหาร, ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์, ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ, และผลทางจิตวิทยา คือดอกผลที่น่าจะได้รับจากโครงการอวกาศที่ประสบความสำเร็จ จีนอาจจะเป็นเพียงประเทศเดียวในโลกที่มีทั้งทักษะความชำนาญด้านเทคโนโลยี, เจตนารมณ์ทางการเมือง, และเงินสดสกุลแข็งในมือ ซึ่งจะทำให้มั่นใจได้ว่าการลงทุนในอวกาศของตนจะได้ผลตอบแทนอย่างแน่นอน
**หมายเหตุ**
[1] Shenzhou-9 set for launch, Global Times, Jun 11, 2012.
[2] China to send its first woman into space, The Guardian, Jun 11, 2012.
[3] Shenzhou-9 set for launch, Global Times, Jun 11, 2012.
[4] Canada renews pledge to International Space Station until 2020, Vancouver Sun, Mar 1, 2012.
[5] A Quixotic Quest to Mine Asteroids, The Wall Street Journal, Apr 23, 2012.
[6] China sets out space-station plan, asks public to name it, The Register, Apr 27, 2011.
เบรนดัน พี โอไรลีย์ เป็นนักเขียนและนักการศึกษาที่มาจากเมืองซีแอตเติล, สหรัฐอเมริกา แต่ปัจจุบันพำนักอยู่ในจีน เขาเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง
The Transcendent Harmony