เอเอฟพี - กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ มีแผนให้กองทัพอากาศ, กองทัพเรือ และหน่วยนาวิกโยธิน เปลี่ยนไปใช้เครื่องบินรบรุ่น เอฟ-35 เกือบทั้งหมด ภายในสิ้นทศวรรษนี้
เครื่องบินต่อสู้ชนิดเครื่องยนต์เดี่ยว เอฟ-35 ถือเป็นเครื่องบินรบรุ่นที่ 5 เนื่องจากมีระบบซอฟต์แวร์อันล้ำสมัย บวกกับเทคโนโลยี “สเตลท์” ที่สามารถหลบหลีกเรดาร์ในดินแดนของศัตรูได้
แสนยานุภาพทางทหารของจีนเป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ มักใช้เป็นเหตุสนับสนุนการจัดซื้ออากาศยานไฮเทค ขณะที่ปักกิ่งเองก็กำลังซุ่มพัฒนาเครื่องบินรบสเตลท์รุ่นที่ 5 ของตนอยู่เช่นกัน
โครงการพัฒนา เอฟ-35 มีเป้าหมายที่จะผลิตเครื่องบินรบสำหรับกองทัพสหรัฐฯจำนวน 2,443 ลำ และอีกหลายร้อยลำสำหรับอีก 8 ชาติที่ร่วมลงทุน รวมถึงลูกค้าอีก 2 ราย คือ ญี่ปุ่น กับ อิสราเอล
8 ประเทศ ที่ร่วมลงขันพัฒนา เอฟ-35 ได้แก่ ออสเตรเลีย, อังกฤษ, แคนาดา, เดนมาร์ก, อิตาลี, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์ และตุรกี
เอฟ-35 จะผลิตออกมาหลายเวอร์ชันด้วยกัน โดย เอฟ-35เอ จะถูกออกแบบเพื่อใช้ในกองทัพอากาศ แทนที่เครื่องบินโจมตีและทิ้งระเบิด รุ่น เอฟ-16 และ เอฟ-18 และ เอ-10 ธันเดอร์โบลต์ ซึ่งเป็นเครื่องบินโจมตีภาคพื้นดิน
รุ่นที่สองคือ เอฟ-35ซี จะใช้สำหรับเรือบรรทุกเครื่องบิน โดยจะมาแทนที่รุ่น เอฟ/เอ-18 ที่กองทัพเรือสหรัฐฯใช้อยู่ในปัจจุบัน ส่วนรุ่นสุดท้ายคือ เอฟ-35 บี ซึ่งสามารถขึ้น-ลงแนวดิ่งได้ จะมาแทนที่ จัมพ์ เจ็ต “แฮร์เรียร์” ที่มีอายุการใช้งานยาวนานแล้ว
เนื่องจากทั้ง 3 รุ่นมีส่วนประกอบคล้ายคลึงกันถึง 80% ค่าใช้จ่ายในการผลิตเครื่องบินรบรุ่นนี้จึงคาดว่าจะถูกกว่าโครงการพัฒนาอาวุธที่มีมาก่อน
อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่ ล็อกฮีด มาร์ติน ได้สัญญาผลิต เอฟ-35 งบประมาณโครงการก็บานปลายเป็น 2 เท่า และต้องเลื่อนกำหนดส่งมอบออกไปจนถึงปี 2020 จากเดิมที่คาดว่าจะสามารถประจำการในกองทัพสหรัฐฯ ได้ภายในปีนี้
ด้วยความเร็วสูงสุดถึง Mach 1.6 หรือราว 1,900 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องบิน เอฟ-35 มีพิสัยเดินทางไกลถึง 1,100 กิโลเมตร เว้นเพียงรุ่น เอฟ-35บี ที่บินต่อเนื่องได้ไม่เกิน 800 กิโลเมตร แต่สามารถเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศได้
ระวางบรรทุกระเบิดภายใน เอฟ-35 สามารถบรรจุขีปนาวุธชนิดยิงจากอากาศสู่อากาศได้ 2 ลูก และระเบิดนำวิถีอีก 2 ลูก ส่วนบริเวณปีก 2 ข้างสามารถติดตั้งระเบิดหรือขีปนาวุธได้อีก 4 ลูก