xs
xsm
sm
md
lg

‘คำสารภาพ’ของอดีตผู้บัญชาการตำรวจเมืองฉงชิ่ง (ตอนจบ)

เผยแพร่:   โดย: ฟรานเชสโก ซิสซี

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

Confessions of a former police chief
By Francesco Sisci
18/04/2012

ในเรื่องราวที่ผู้เขียนตั้งใจเขียนขึ้นให้ดูเหมือนกับแต่งเป็นนิยายเรื่องนี้ หวัง ลี่จิว์น อดีตผู้บัญชาการตำรวจพิทักษ์สันติราษฎร์แห่งมหานครฉงชิ่ง จะบอกเล่าให้เราฟังถึงการก้าวผงาดขึ้นมาและการตกต่ำสูญเสียอำนาจของ ป๋อ ซีไหล ผู้เป็นเจ้านายของเขา พร้อมๆ กับความเป็นมาของการสืบสวนคดีฆาตกรรมคดีหนึ่งซึ่งช่างเต็มไปด้วยการบิดผันและการหักมุม จนในที่สุดแล้วก็ทำให้ตัวหวัง ลี่จิว์น เองต้องตัดสินใจก้าวข้ามธรณีประตูของสถานกงสุลสหรัฐฯ และกระทำพฤติการณ์แห่งการเป็นผู้ทรยศกบฏชาติ ณ จังหวะเวลาที่อันตรายเหลือเกินสำหรับประเทศจีน

อย่างไรก็ตาม การที่จะเดินหน้าจนกระทั่งก้าวขึ้นสู่ฐานะเช่นนี้ได้สำเร็จ ป๋อ ซีไหล ก็ไม่ควรมีเรื่องราวไม่ชอบมาพากลในอดีตที่เสี่ยงต่อการถูกขุดคุ้ยเปิดโปง แล้วเขามีหรือไม? มีแน่นอน เขาก็ต้องหล่อเลี้ยงกลไกแห่งอำนาจเฉกเช่นคนอื่นๆ หรืออาจจะหล่อเลี้ยงได้ดีกว่าคนอื่นๆ ด้วยซ้ำ นั่นก็คือ เขาเข้าไปยึดทรัพย์สินจากพวกมาเฟียใหญ่ที่ผมสืบสวนตามจับมาให้เขา จากนั้นเขาก็ขายทรัพย์สินเหล่านั้นในราคาถูกๆ ให้แก่เพื่อนของเขา ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นพวกฝ่ายซ้าย เป็นพวกอนุรักษนิยมผู้สามารถทำเงินทำทองได้ขณะที่กำลังโบกธงแดงของ เหมา เจ๋อตง เขาทำอย่างนี้ผิดหรือไม่? ต้องเข้าใจกันก่อนว่า ในประเทศจีนนั้น มันไม่ได้มีระเบียบกฎเกณฑ์วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการขายทรัพย์สินของพวกมาเฟียนี่นา แล้วการต่อสู้กับมาเฟีย ย่อมจำเป็นที่จะต้องลงมือกันอย่างเด็ดขาดและรวดเร็วไม่ใช่หรือ?

ป๋อ สามารถกระตุ้นยั่วยุความรู้สึกไม่พอใจที่ประชาชนทั่วไปมีต่อสังคมเศรษฐกิจการตลาดอันสลับซับซ้อนในยุคปัจจุบัน ด้วยการตีตราทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเรื่องใหม่ๆ ว่า “เสื่อมทราม” อันเป็นเรื่องที่พลเมืองจีนส่วนใหญ่ซึ่งกำเนิดและเติบโตขึ้นในช่วงเวลาแห่งการปฏิวัติวัฒนธรรม ย่อมมีความรู้สึกเช่นนั้นอยู่แล้ว ในอีกด้านหนึ่ง เขาก็พยายามเล่นกับความรู้สึกเป็นเจ้าของประเทศชาติ ของบรรดาชนชั้นสูง “สีแดง” ทั้งหลาย ซึ่งก็คือบรรดาเครือญาติของเหล่านักปฏิวัติ บุคคลเหล่านี้ย่อมมีความเชื่อทำนองเดียวกับพวกชนชั้นสูงในยุคเก่ายุคจักรพรรดิ พวกเขาเห็นว่าประเทศชาติคือสมบัติของพวกเขา เนื่องจากญาติๆ ของพวกเขาได้เคยเสี่ยงชีวิตช่วงชิงมาจากพวกเจ้าของประเทศคนก่อนๆ

แต่จากการเล่นกับกลุ่มคนต่างๆ เหล่านี้ เขาก็กำลังเล่นกับไฟ ในทางเป็นจริงแล้ว ถึงแม้ประชาชนคนสามัญส่วนใหญ่ที่สุดในสังคมปัจจุบันจะมีความรู้สึกว่าถูกขับไสไล่ส่งให้กลายเป็นคนนอก และถึงแม้พวกเขามีความรู้สึกถวิลหาอย่างล้ำลึกต่ออดีตกาลในยุคที่พวกเขายังเป็นเด็กยังเป็นหนุ่มเป็นสาว ซึ่งสิ่งต่างๆ ดูเรียบๆ ง่ายๆ ไปหมด และโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายก็บำบัดรักษาด้วยยาพื้นบ้านของพวกหมอตีนเปล่า ทว่ามันไม่มีทางหรอกที่จะก้าวออกไปจากสังคมสมัยใหม่ โดยที่ทุกๆ คนต่างตระหนักรับรู้แรื่องนี้อย่างลึกซึ้งถึงกระดูกกันทั้งสิ้น และถึงแม้มีข้อเท็จจริงอยู่ว่า คนรุ่นพ่อของชนชั่นสูงสีแดง ได้ยึดประเทศนี้มาได้เฉกเช่นเดียวกับพวกขุนนางของจักรพรรดิราชวงศ์ฮั่น หรือราชวงศ์หมิง ทว่าจีนในปัจจุบันก็แตกต่างไปจากจักรวรรดิแดนมังกรในอดีตมากมายเหลือเกิน และการยินยอมให้อำนาจเพิ่มเติมแก่พวกชนชั้นสูงสีแดงทั้งหลาย ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องชอบธรรมอะไร เรื่องนี้ก็เช่นกัน ทุกๆ คนต่างตระหนักรับรู้อย่างลึกซึ้งถึงกระดูกกันทั้งนั้น

ด้วยเหตุนี้ ในขณะที่ ป๋อ กำลังสร้างประชาชนผู้ชื่นชอบสนับสนุนเขาขึ้นมา โดยอาศัยอารมณ์ความรู้สึกแบบประชานิยม ตลอดจนอารมณ์ถวิลาหาอุดมการณ์คอมมิวนิสต์แบบเก่าของพวกอนุรักษนิยม เขาก็กำลังขุดหลุมฝังศพตัวเขาเองไปด้วย บรรดาผู้คนที่ต้องการผลักดันประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าไม่ใช่หวนกลับคืนสู่อดีต บรรดาผู้คนซึ่งโกรธกริ้วไม่พอใจความเจ้ากี้เจ้าการมุ่งครอบงำคนอื่น ตลอดจนความทะเยอทะยานอย่างชนิดไร้ขีดจำกัดของ ป๋อ ต่างรวมตัวกันเพื่อต่อต้านคัดค้านเขา

ในระยะสองสามปีหลังๆ มานี้ ได้เกิดแรงกดดันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อสิ่งที่ ป๋อ กระทำ เป็นแรงกดดันที่เกิดขึ้นทั้งในนครฉงชิ่งเองและทั้งในทั่วทั้งประเทศจีน แล้วก็โชคร้ายที่เขาไม่ใช่คนที่ปราศจากตำหนิ เขาทุจริตคอร์ปชั่นหรือเปล่า? ก็คงเหมือนๆ กับทุกผู้ทุกคน จะมากจะน้อยอย่างไร ใครเลยสามารถบ่งบอกระบุได้อย่างแน่นอน? ป๋อ เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้หรือเปล่า? บางทีเขาอาจจะไม่พร้อมให้ใครบางคนมาขุดคุ้ยอดีตของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายสัมพันธ์อันเคลือบคลุมไม่ชัดเจนที่เขามีอยู่กับ เฮย์วูด นักธุรกิจชาวอังกฤษผู้มีภูมิหลังทางด้านความมั่นคงบางอย่างบางประการ

ผมเองก็ไม่สามารถที่จะระบุได้อย่างชัดเจนหรอกครับว่าภูมิหลังด้านความมั่นคงของเฮย์วูดนี้เป็นอย่างไร แต่ในขณะที่เขายังเป็นแค่คนหนุ่มคนหนึ่ง เขากลับสามารถที่จะโยกย้ายธุรกิจต่างประเทศจำนวนมากให้เข้ามาอยู่ในเมืองต้าเหลียนได้ รวมทั้งสามารถดึงเอาบุคคลสำคัญมากของอังกฤษสองสามคนไปที่นั่นด้วย เป็นบุคคลระดับคนใหญ่คนโตที่จะดูถูกดูแคลนพวกซึ่งเคยเป็นขี้ข้าเก่ายุคอาณานิคมของพวกเขาในฮ่องกง เฮย์วูดใช้วิธีไหนจึงประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนี้? พวกเราก็อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดอยู่หรอก เขาบอกว่ามันเป็นประเพณีเก่าของพวกโรงเรียนประเภทพับลิกสคูลในอังกฤษ เป็นต้นว่า ศิษย์เก่าโรงเรียนแฮร์โรว์อย่างตัวเขา จะต้องช่วยเหลือศิษย์เก่าแฮร์โรว์ด้วยกัน มันเป็นสโมสรเฉพาะของศิษย์เก่า ถ้าคุณไม่เคยเข้าโรงเรียนนี้ คุณก็ไม่สามารถเข้าไปร่วมวงได้ เรื่องนี้ฟํงดูช่างคล้ายคลึงกันอย่างน่ามหํศจรรย์กับแวดวงชาวคอมมิวนิสต์เก่า นั่นคือ คุณเป็นพวกลูกท่านหลานเธอ (ลูกหลานของนักปฏิวัติอาวุโส) คุณก็อยู่ในแวดวงนี้ แต่ถ้าคุณไม่ใช่ คุณก็ไม่มีทางได้กล้ำกรายเข้าไป ไม่มีใครที่อยู่ตรงกลางๆ ได้เลย อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นอย่างที่เฮย์วูดอธิบายนี้จริงๆ หรือ?

ความระแวงสงสัยเหล่านี้พองเต็มอยู่ในหัวของผม เมื่อตอนที่มีคนบอกว่า กู่ ไคไหล ฆ่า เฮย์วูด ตายแล้ว นี่เป็นการฆ่าเพราะเรื่องเงินทองหรือว่าเพราะเรื่องอื่นๆ? เฮย์วูดข่มขู่ที่จะเปิดโปงเธอหรือ ป๋อ จริงๆ เหมือนที่เธออ้างหรือเปล่า? ความคิดเรื่องการข่มขู่นั่นฟังดูแล้วมันออกจะเหลือเชื่อ เรื่องการใช้คนกลางนั้นเป็นเรื่องที่คุณต้องเลือกว่าจะใช้หรือจะไม่ใช้ แล้วจากนั้นก็เป็นเรื่องที่คุณต้องเลือกว่าคุณจะจ่ายให้เขาตามที่เขาเรียกร้อง หรือคุณจะไปหาคนอื่นๆ คุณไม่มาต่อรองเรื่องราคาหรอก เธอเคยทำเรื่องแบบนี้มาเป็นปีๆ แล้ว ดังนั้นเธอต้องทราบวิธีการเป็นอย่างดีอยู่แล้ว แล้วมันอาจจะเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ได้ไหม? เกิดจากความอิจฉาริษยาหรือ? เป็นไปได้ไหมที่มีข้อตกลงที่ทำไว้กับรัฐบาลอังกฤษโดยผ่านเฮย์วูด แล้วมาถึงตอนนี้ ป๋อ ต้องการทำลายข้อตกลงนั้นเสียแล้ว ?

คำถามทั้งหมดเหล่านี้ไหลวนไปวนมาอยู่ภายในหัวของผม เมื่อเวลาผ่านไปจนกระทั่งหลังจากวันที่ 15 พฤศจิกายน 2011 แล้ว ผมก็ถูกเรียกตัวให้ไปกลบเกลื่อนปิดบังการฆาตกรรมรายนี้ แรกทีเดียว ภรรยาของเฮย์วูด และต่อมาก็เป็นทางสถานกงสุลอังกฤษ ที่ขอเข้าพบ ป๋อ เป็นเวลา 3 วัน และพวกเราไม่ทราบหรอกว่าควรจะพูดอะไรหรือควรจะทำอะไร ปักกิ่งได้ทราบข่าวเรื่องนี้และเริ่มต้นระแวงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นมา พวกเราจำเป็นต้องเผาศพของเฮย์วูดเพื่อทำลายหลักฐานทั้งหมดไปเสีย ผมทราบดีว่านี่เป็นความเคลื่อนไหวที่อันตราย ผมเองก็ไม่ทราบว่า กู่ ทำได้อย่างไร แต่ภรรยาของเฮย์วูด ได้ยินยอมให้เผาศพได้ ถึงแม้พวกเราได้ทำให้สถานการณ์ยิ่งย่ำแย่ ด้วยการระบุสาเหตุการตายของเฮย์วูดที่แตกต่างกันเป็น 2 อย่าง มีทั้งบอกว่าเพราะหัวใจวาย และบอกว่าเพราะพิษของแอลกอฮอล์

แต่การเผาศพกลายเป็นการสั่นระฆังเตือนภัยขึ้นในปักกิ่ง ทุกๆ คนที่นี่ต่างทราบกันทั้งนั้นแหละว่า ถ้าหากเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจเกิดไปฆ่าใครสักคนหนึ่ง แล้วต้องการทำลายหลักฐาน พวกเขาก็ต้องเผาศพ แล้วยิ่งเมื่อประวัติของพวกเราเต็มไปด้วยการใช้วิธีพิพากษาตัดสินความยุติธรรมอย่างรวดเร็วเกินไปอยู่แล้ว พวกเราจึงถูกสืบสวนขุดคุ้ยในทันที คนของปักกิ่งเดินทางมาที่ฉงชิ่งกันเหมือนฝูงอีแร้ง และคอยเฝ้าตามผมอย่างใกล้ชิดชนิดหายใจรดต้นคอ คอยจับตาผมอยู่ทุกฝีก้าวที่ผมออกเดิน ผมกลายเป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญที่สุด เพราะพวกเขาทราบดีว่าเรื่องอย่างนี้จะมากจะน้อยยังไงก็ต้องผ่านมือผม พวกเขาเริ่มต้นซักถามบุคคลต่างๆ และทำการจับกุมผู้ที่พวกเขาสงสัย คงจะอีกไม่นานเท่าไหร่หรอกที่พวกเขาจะต้องเล่นงานถึงตัวผม แล้วผมควรจะทำอย่างไรดี? จบชีวิตของผมเองอย่างไร้ศักดิ์ศรีด้วยข้อหาว่าฆาตกรรมชาวต่างชาติคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ?

ผมเดินทางไปพบ ป๋อ แต่เขากลับปฏิบัติต่อผมเหมือนผมเป็นไอ้คนขี้ขลาด เขาตะโกนใส่หน้าผมว่า ผมควรต้องยอมตกต่ำลงไปเมื่อถึงเวลาที่ผมต้องตกต่ำแล้ว แต่คุณทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก เขาไม่ควรที่จะมาตะโกนใส่หน้าผมเลย เพราะผมไม่ใช่คนอ่อนแอหมดทางสู้ และการที่เขาพยายามอวดอำนาจใส่ผมมีแต่จะทำให้ผมโกรธแค้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาไม่สามารถรักษาอากัปกิริยาเยือกเย็นตามปกติของเขาเอาไว้ได้ในจังหวะเวลาเช่นนี้ กลายเป็นเครื่องยืนยันความรู้สึกของผมที่ว่า เขากำลังควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว และความเป็นจริงที่เกิดขึ้นก็คือ สิ่งต่างๆ กำลังพังทลายอย่างควบคุมไม่อยู่

แต่ตัวผมเองจะทำอะไรได้บ้างล่ะ? ผมจะไปต่อสู้เล่นงานเขาได้ยังไง? ผมไม่สามารถเล่นงานเขาได้หรอก เขาเป็นคนที่มีเพื่อนฝูงอยู่ในทุกหนทุกแห่ง ทั้งในปักกิ่ง และในอื่นๆ ตลอดทั่วประเทศ ไม่มีหนทางไหนเลยด้วยที่ผมจะสามารถเข้าถึงคนระดับสูงสุดและเปิดโปงประณามกล่าวโทษเขา เครือข่ายสายสัมพันธ์ของเขา ซึ่งผมเองมีส่วนช่วยเขาสร้างขึ้นมา จะต้องสกัดกั้นขัดขวางผม และคอยกล่าวร้ายทำลายผม โดยยกเหตุผลว่าผมกำลังพยายามที่จะรักษาตัวเอง จึงพลอยดึงลากให้ ป๋อ เข้าไปในเรื่องนี้ด้วย

ผมไม่ได้ต้องการที่จะทรยศต่อประเทศชาติของผม และขอลี้ภัยทางการเมืองในต่างแดนเลย แต่ระบบของเรานั้นไม่ได้มีกลไกใดๆ สำหรับการคุ้มครองป้องกันจากภายในอย่างแท้จริงเอาเลย เราไม่มีระบบตรวจสอบและคานอำนาจ ซึ่งสามารถป้องกันไม่ให้เกิดการใช้อำนาจไปในทางมิชอบ และคอยแก้ไขกรณีต่างๆ ทำนองนี้เมื่อมันเกิดเรื่องขึ้นมา การตรวจสอบและคานอำนาจเพียงอย่างเดียวที่พวกเรามีและยอมรับก็คือมหาอำนาจอเมริกัน ดังนั้น ถ้าผมต้องการให้ประธานาธิบดีของผมได้ยินจริงๆ แล้ว ผมก็ต้องพูดกับฝ่ายอเมริกันก่อน เพื่อทำให้คนของผมเกิดความหวาดผวา แล้วพวกเขาจะได้มารับฟังสิ่งที่ผมต้องการพูด

สิ่งที่ผมทำลงไปเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีตัวอย่างมาก่อนในประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน และกลายเป็นการสร้างความท้าทายในเชิงระบบต่อประเทศนี้ เพราะในเมื่อเราไม่ได้มีระบบการแบ่งแยกอำนาจ และไม่ได้มีระบบการควบคุมอันโปร่งใส ตั้งแต่นี้ต่อไปใครก็ตามย่อมสามารถที่จะหยุดยั้งกลไกรัฐหรือข่มขู่ที่จะหยุดยั้งกลไกรัฐ โดยใช้วิธีหลบหนีไปยังสถานกงสุลต่างประเทศสักแห่งนึง นั่นหมายความว่า ถ้ายังไม่มีการปฏิรูปทางการเมืองอย่างชนิดทั้งระบบแล้ว กลไกรัฐจีนก็จะสะดุดและชะงักงัน ดังนั้น เพื่อฟื้นฟูความยืดหยุ่นและความเป็นอิสระจากการถูกแทรกแซงโดยต่างชาติในทางพฤตินัย ระบบจะต้องปรับเปลี่ยนให้มีความโปร่งใสมากขึ้น, นำเอาการแบ่งแยกอำนาจในบางลักษณะมาประยุกต์ใช้, และมีความเป็นประชาธิปไตยตลอดจนการเปิดกว้างเพิ่มมากขึ้นในลักษณะที่เหมาะสมกับเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ของจีน ไม่เช่นนั้นแล้ว ระบบก็จะพังครืนลงมาได้อย่างง่ายดาย

ในขณะที่ผมหลบหนี ผมก็ไม่ได้มองเห็นอะไรชัดเจนไปทั้งหมดหรอก มาถึงตอนนี้ความคิดของผมจึงสามารถกำหนดกรอบต่างๆ ได้ดีขึ้นมาก ดังนั้น ในแง่หนึ่งแล้ว จากการหลบหนีของผม และจากการที่ ป๋อ กับ กู่ สังหาร เฮย์วูด ก็กลับกลายเป็นการเร่งรัดกระบวนการแห่งการปฏิรูปทางการเมืองในประเทศจีน ผมเข้าใจว่านี่ไม่ใช่วิธีการในแบบที่คณะผู้นำสูงสุดต้องการทำหรอก และนี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนจำนวนมากในพรรคต้องการทำแม้แต่น้อย แต่ผมก็ได้แต่หวังว่าจากการที่ได้ลงแรงทำสิ่งที่เสี่ยงมากถึงขนาดนี้แล้ว ผมก็ย่อมต้องการผลักดันโชคชะตาของจีนให้ก้าวไปข้างหน้า ในเวลานี้ขณะที่พวกท่านตราหน้าผมได้อย่างถูกต้องว่าผมเป็นคนทรยศชาติ ผมก็หวังว่าพวกท่านยังจะสามารถยอมรับได้เช่นกันว่า ด้วยพฤติการณ์ทรยศชาติในช่วงเวลาที่อันตรายอย่างยิ่งสำหรับประเทศจีนเช่นนั้น ผมกลับแสดงให้เห็นว่ามีความจงรักภักดีต่อประเทศชาติของผม มากยิ่งกว่าผู้คนจำนวนมากที่ได้แต่ยืนสงบนิ่งอย่างเชื่องเชื่อ ทั้งๆ ที่ถึงเวลาที่พวกเขาควรต้องลงมือกันอะไรกันได้แล้ว ในที่นี้ประวัติศาสตร์ได้กลายเป็นนิยาย หรือกลับกัน นิยายก็ได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ ได้โปรดเข้าใจผม และได้โปรดช่วยกันรักษาผม ถ้าหากไม่สามารถรักษาชีวิตของผมได้ อย่างน้อยที่สุดรักษาความทรงจำของผมเอาไว้ให้ได้ก็ยังดี

(เรื่องนี้เป็นการนำเอาความคิดต่างๆ ของ หวัง ลีจิว์น มาแต่งให้เป็นนิยาย ทั้งนี้โดยอิงอาศัยส่วนน้อยนิดของเรื่องราวต่างๆ ที่กำลังแพร่หลายกระจายไปในประเทศจีนขณะนี้)

ฟรานเชสโก ซิสซี เป็นคอลัมนิสต์ให้กับ อิล โซเล 24 โอเร (Il Sole 24 Ore) หนังสือพิมพ์รายวันในอิตาลี สามารถที่จะติดต่อเขาทางอีเมล์ได้ที่ fsisci@gmail
กำลังโหลดความคิดเห็น