(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
Rare spark of light in India’s economy
By Robert M Cutler
06/01/2012
ผลผลิตทางอุตสาหกรรมที่เพิ่มสูงขึ้น ถือเป็นประกายแสงแวววาวสดใสที่ค่อนข้างหาได้ยากของเศรษฐกิจอินเดียในเวลานี้ หลังจากที่ค่าเงินรูปีได้ลดลงอย่างฮวบฮาบในปีที่แล้ว และราคาในตลาดหุ้นก็ทรุดตัวหนักในทำนองเดียวกัน อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อของแดนภารตะยังคงสูงลิ่วอยู่แถวๆ 9% ซึ่งกลายเป็นตัวจำกัดบีบรัดการขยายตัวของภาคธุรกิจ
มอนทรีออล, แคนาดา– เศรษฐกิจอินเดียกำลังทำให้พวกนักลงทุนในเอเชียเกิดกำลังใจขึ้นมาบ้าง หลังจากที่ต้องพบข่าวไม่ดีในช่วงสิ้นปีที่แล้วจากสิงคโปร์และเกาหลีใต้ โดยที่ภาคอุตสาหกรรมการผลิตของแดนภารตะกำลังกระเตื้องดีขึ้น ส่วนตลาดหุ้นก็กำลังเข้มแข็งกระเตื้องดีขึ้นจากจุดที่ร่วงลงเหวครั้งแล้วครั้งเล่าในปี 2011 กระนั้นก็ตาม ข่าวดีเหล่านี้อาจจะยังไม่เพียงพอที่จะทำให้แนวโน้มด้านลบในช่วงหลังๆ นี้ บังเกิดการเหวี่ยงตัวไปในอีกทิศทางหนึ่ง
ภาคอุตสาหกรรมการผลิตของอินเดียกำลังดีดตัวขึ้น เนื่องจากมีคำสั่งซื้อใหม่ๆ หลั่งไหลเข้ามา ดังที่เห็นได้จากตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Purchasing Managers Index หรือ PMI) ของเดือนธันวาคม 2011 ซึ่งมีการขยับขึ้นมามากที่สุดในรอบ 6 เดือน โดยอยู่ที่ 54.2 จากระดับ 51.0 ในเดือนพฤศจิกายน หลังจากที่ก่อนหน้านั้นได้ร่วงหล่นลงไปอยู่ที่ 52.0 ในเดือนตุลาคม ดัชนี PMI ของอินเดียซึ่งรวบรวมจัดทำโดย HSBC/Markit นี้ คำนวณจากการสำรวจความคิดเห็นของพวกผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในบรรดาบริษัทขนาดใหญ่ที่สุด ถ้าหากดัชนีมีค่าสูงกว่าระดับ 50 ก็เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจมีการขยายตัว แต่ถ้าต่ำกว่าก็แสดงถึงการหดตัว
สำหรับดัชนี PMI ตัวที่ครอบคลุมรวมเอาภาคอุตสาหกรรมการผลิตและภาคบริการเข้าด้วยกันนั้น ก็ปรากฏว่าขยับเพิ่มขึ้นจากระดับ 52.3 ในเดือนพฤศจิกายน มาอยู่ที่ 54.7 ในเดือนธันวาคม ขณะเดียวกับที่ตัวเลขการจ้างงานก็กระเตื้องดีขึ้น
สภาพเช่นนี้ย่อมถือเป็นข่าวดีสำหรับนักลงทุนในอินเดีย ซึ่งเงินรูปีกลายเป็นสกุลเงินตราที่มีผลประกอบการเลวร้ายที่สุดของเอเชียในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา โดยหล่นฮวบลงมาเกือบๆ 17% ตั้งแต่ยืนอยู่แถวๆ 45.339 รูปต่อ 1 ดอลลาร์เมื่อตอนเริ่มต้นปีใหม่ 2011 จนมาอยู่ที่ 52.985 รูปีแลกได้ 1 ดอลลาร์ในตอนก่อนเช้ามืดวันที่ 30 ธันวาคม 2011 พอย่างเข้าปีใหม่ 2012 นี้ ค่าเงินรูปีได้ไหลลงจนทะลุระดับ 53 รูปีต่อดอลลาร์ในวันที่ 4 มกราคม ก่อนที่จะเด้งขึ้นมาได้เล็กน้อย
เวลานี้พวกผู้สังเกตการณ์จึงต่างจับจ้องไปที่ธนาคารกลางของแดนภารตะ ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า รีเสิร์ฟ แบงก์ ออฟ อินเดีย (Reserve Bank of India หรือ RBI) ว่าจะยังคงเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อสกัดกั้นขัดขวางพวกนักเก็งกำไรต่อไปหรือไม่ หลังจากที่ได้เริ่มกระทำเช่นนั้นนับแต่ที่สกุลเงินตราของอินเดียมีค่าลดต่ำลงกว่าระดับสำคัญยิ่งทางจิตวิทยาที่ 50 รูปีต่อดอลลาร์
ในทางเป็นจริงแล้ว ถึงแม้การเข้าแทรกแซงของ RBI แต่เงินรูปียังคงอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่องมิได้หยุด จนทำให้พวกช่างสงสัยตั้งคำถามขึ้นมาว่า การปฏิบัติการของแบงก์ชาติอินเดียจะบังเกิดผลใดๆ หรือไม่ในช่วงระยะสั้นเฉพาะหน้านี้ ในเมื่อสถาบันต่างๆ จำนวนมากยังคง “ทำช็อต” นั่นคือ ปล่อยขายเงินรูปีด้วยความเชื่อว่ามันจะมีค่าลดต่ำลงไปอีกในอนาคต โทรทัศน์ข่าวธุรกิจ ซีเอ็นบีซี ได้อ้างความเห็นของพวกนักวิเคราะห์แห่งค่ายมอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) ที่บอกว่า เงินรูปีจะยังคงตกอยู่ใต้แรงกดดันบีบคั้นเช่นนี้ต่อไป ตราบเท่าที่ตลาดการเงินโลกเผชิญภัยคุกคามที่ว่า จะต้องประสบปัญหาไร้สภาพคล่อง ถึงแม้ความเคลื่อนไหวเข้าแทรกแซงของ RBI จะช่วยให้อาการวูบวาบขึ้นลงแรงๆ ของเงินรูปี ลดลงมาได้ก็ตามที
ทางด้านตลาดหุ้นแห่งต่างๆ ของอินเดีย ก็มิได้มีผลงานในปี 2011 ที่ดีกว่าเงินรูปีเลย ถึงแม้ดัชนีหุ้น เซนเซกซ์ 30 (Sensex 30) ของตลาด BSE ซึ่งถือเป็นมาตรวัดสำคัญของหุ้นแดนภารตะ ได้ฟื้นตัวขึ้นมาประมาณ 4.5% จากจุดที่ลงไปต่ำสุดในรอบปีที่แล้ว ณ ระดับ 15,175 ในวันที่ 20 ธันวาคม ทั้งนี้ดัชนีนี้ปิดการซื้อขายในวันที่ 5 มกราคม 2011 ที่ระดับ 15,857 เปรียบเทียบกับตอนปิดการซื้อขายในวันแรกทำการซื้อขายของปี 2011 ซึ่งอยู่ที่ 20,561 เท่ากับว่าดัชนีนี้ได้ลบลง 22.8% ในรอบระยะเวลา 12 เดือน ยิ่งถ้ากนำมาคำนวณพ่วงกับการอ่อนตัวของค่าเงินรูปีด้วยแล้ว นี่ก็จะเท่ากับว่ามูลค่าของหุ้นอินเดียลดลงถึงหนึ่งในสามเต็มๆ ทีเดียวเมื่อคิดคำนวณกันเป็นสกุลเงินดอลลาร์
การตกวูบของค่าเงินรูปียังเป็นตัวเติมเชื้อเพลิงให้แก่ภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งจวบจนถึงเวลานี้ยังคงปักหลักอยู่ในระดับที่สูงจนน่าวิตก ณ กว่า 9% นิดๆ เมื่อคำนวณจากราคาขายส่ง ถึงแม้นี่เป็นตัวเลขซึ่งต่ำลงมาจากระดับ 9.73% ในเดือนตุลาคมแล้วก็ตาม ถ้าหากระดับราคาสามารถที่จะลดลงไปได้อย่างต่อเนื่องตามที่คาดการณ์กันไว้ ก็ย่อมเป็นการสร้างเงื่อนไขให้ RBI ลงมือปฏิบัติการลดอัตราดอกเบี้ยลงมาในที่สุด ทว่าเรื่องนี้เห็นทีจะตั้งความหวังอะไรนักไม่ได้ โดยตามรายงานของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg News) สุภีร์ โกคาร์น (Subir Gokarn) รองผู้ว่าการ RBI ได้กล่าวระหว่างเข้าร่วมการประชุมที่สิงคโปร์เมื่อวันที่ 5 มกราคมว่า การที่เงินเฟ้ออยู่ในอัตราที่สูง บวกกับค่าเงินรูปีอ่อนตัว เมื่อรวมกับการที่ราคาพลังงานของโลกอยู่ในระดับสูงลิ่วเข้าไปอีก ทำให้อาจจะเป็นเรื่องลำบากที่ RBI จะกลับหันหลังจากการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแล้วครั้งเล่าในระยะหลังๆ นี้ จนกระทั่งอยู่ในระดับสูงสุดเป็นสถิติ
การที่อัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นต้นทุนของเงินลงทุน ได้พุ่งขึ้นไปจนสูงลิ่วเช่นนี้ ทำให้การขยายธุรกิจเป็นไปด้วยความลำบาก ตามผลการสำรวจที่จัดทำโดยบริษัทวิจัย คริสซิล รีเสิร์ช (Crisil Research) และรายงานเอาไว้ในหนังสือพิมพ์อีโคโนมิก ไทมส์ (Economic Times) ของอินเดีย บริษัทระดับท็อป 500 อันดับแรกของอินเดีย (ไม่รวมพวกธนาคารและสถาบันการเงิน ตลอดจนบริษัททำการตลาดด้านน้ำมันที่เป็นกิจการของรัฐ) ต่างมีความสามารถในการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยลดน้อยลงจนอยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี ทั้งนี้ไม่เพียงเพราะอัตราดอกเบี้ยสูงมากเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะผลกำไรจากการดำเนินงานก็ตกลงมาด้วย
รองผู้ว่า โกคาร์น ชี้ว่า ถึงแม้ “วัฏจักรด้านการเงิน” (monetary cycle) ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในเดือนมีนาคม 2010 “ได้ไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว” แต่ “นั่นไม่ได้หมายความว่า เป็นเรื่องแน่นอนแล้วที่กำลังจะเกิดการหักเลี้ยวกลับอย่างรวดเร็ว นั่นก็เพราะความเสี่ยงทางด้านเงินเฟ้อยังคงมองเห็นได้อย่างชัดเจน ยังคงอยู่ในระดับที่สูงมาก” บุคคลสำคัญของแบงก์ชาติอินเดียยังคงมีความเห็นเช่นนี้ ถึงแม้มีข่าวพาดหัวตัวโตว่า อัตราเงินเฟ้อจากราคาอาหารกำลังลดต่ำลงแล้วในทางเป็นจริงในระหว่างสัปดาห์ที่สามของเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นการกลับตาลปัตราจากแนวโน้มขยับเพิ่มสูงขึ้นก่อนหน้านั้น สาเหตุเป็นเพราะดัชนีเงินเฟ้อตัวหลักของอินเดีย ยังคงอยู่ในระดับที่สูงถึง 9.1% ในเดือนพฤศจิกายน ถึงแม้จะเป็นตัวเลขต่ำที่สุดในรอบ 1 ปี และลดต่ำลงมาจากระดับ 9.7% ในเดือนตุลาคมก็ตามที สำหรับราคาเชื้อเพลิงในสัปดาห์เดียวกันได้ขยับสูงขึ้นในอัตราเท่ากับ 14.4% ต่อปี
ทางด้านจีน ตัวเลขดัชนี PMI อย่างเป็นทางการของประเทศนั้น ซึ่งรายงานโดยสหพันธ์โลจิสติกส์และการวางแผนแห่งประเทศจีน (China Federation of Logistics and Planning หรือ CFLP) ในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม ปรากฏว่าได้ขยับสูงขึ้นไปอยู่ที่ 50.3 ในเดือนธันวาคม จากระดับ 49 ในเดือนพฤศจิกายน ขณะดัชนี PMI “อีกตัวหนึ่ง” ซึ่งพวกนักเฝ้าจับตามองจีนต่างให้ความสนใจติดตาม โดยที่ผู้รวบรวมจัดทำก็เป็นรายเดียวกับที่อินเดีย นั่นคือ เอชเอสบีซี/มาร์กิต ก็ไต่ขึ้นมาเช่นเดียวกัน คืออยู่ที่ 48.7 จาก 47.7 ทว่ายังคงบ่งชี้ให้เห็นการหดตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากตัวเลขยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50
อย่างไรก็ดี แม้กระทั่งพวกช่างข้องใจสงสัย ก็ยังคงประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2012 ว่าอยู่ภายในกรอบตัวเลข 8% ซึ่งยึดถือกันมานมนานแล้วว่าคืออัตราเติบโตขั้นต่ำสุดที่จะสามารถสร้างตำแหน่งงานได้มากเพียงพอที่จะดูดซับบรรดาผู้เข้าสู่ตลาดแรงงานในประเทศหน้าใหม่ๆ สำหรับตัวเลขคาดการณ์การเจริญเติบโตของจีดีพีจีนปีนี้ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปนั้น ยืนอยู่ที่เกินกว่า 8% หน่อยๆ
จากการที่เศรษฐกิจของชาติที่ชี้นำด้วยการส่งออกอย่างหนักหน่วงเฉกเช่นสิงคโปร์และเกาหลีใต้ กำลังอยู่ในอาการอ่อนปวกเปียก ทำให้จีนและอินเดียยิ่งต้องมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการผลักดันการเจริญเติบโตของเอเชีย อย่างน้อยที่สุดก็ในช่วงครึ่งแรกของปี 2012 อย่างไรก็ดี จีนดูเหมือนแทบจะไม่ต่างจากอินเดียกี่มากน้อย นั่นคือ เศรษฐกิจอยู่ในฐานะที่เฉียดฉิวจวนเจียนเต็มที
ดร.โรเบิร์ต เอ็ม คัตเลอร์ (www.robertcutler.org) สำเร็จการศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) และมหาวิทยาลัยมิชิแกน และได้ทำงานวิจัยตลอดจนสอนอยู่ตามมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ทั้งในสหรัฐฯ, แคนาดา, ฝรั่งเศส, สวิตเซอร์แลนด์, และรัสเซีย เวลานี้เขาเป็นนักวิจัยอาวุโสอยู่ที่ สถาบันเพื่อยุโรป, รัสเซีย, และยูเรเชียศึกษา (Institute of European, Russian and Eurasian Studies) มหาวิทยาลัยคาร์ลตัน (Carleton University) ประเทศแคนาดา เขายังรับเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวในกิจการต่างๆ หลายหลาก
Rare spark of light in India’s economy
By Robert M Cutler
06/01/2012
ผลผลิตทางอุตสาหกรรมที่เพิ่มสูงขึ้น ถือเป็นประกายแสงแวววาวสดใสที่ค่อนข้างหาได้ยากของเศรษฐกิจอินเดียในเวลานี้ หลังจากที่ค่าเงินรูปีได้ลดลงอย่างฮวบฮาบในปีที่แล้ว และราคาในตลาดหุ้นก็ทรุดตัวหนักในทำนองเดียวกัน อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อของแดนภารตะยังคงสูงลิ่วอยู่แถวๆ 9% ซึ่งกลายเป็นตัวจำกัดบีบรัดการขยายตัวของภาคธุรกิจ
มอนทรีออล, แคนาดา– เศรษฐกิจอินเดียกำลังทำให้พวกนักลงทุนในเอเชียเกิดกำลังใจขึ้นมาบ้าง หลังจากที่ต้องพบข่าวไม่ดีในช่วงสิ้นปีที่แล้วจากสิงคโปร์และเกาหลีใต้ โดยที่ภาคอุตสาหกรรมการผลิตของแดนภารตะกำลังกระเตื้องดีขึ้น ส่วนตลาดหุ้นก็กำลังเข้มแข็งกระเตื้องดีขึ้นจากจุดที่ร่วงลงเหวครั้งแล้วครั้งเล่าในปี 2011 กระนั้นก็ตาม ข่าวดีเหล่านี้อาจจะยังไม่เพียงพอที่จะทำให้แนวโน้มด้านลบในช่วงหลังๆ นี้ บังเกิดการเหวี่ยงตัวไปในอีกทิศทางหนึ่ง
ภาคอุตสาหกรรมการผลิตของอินเดียกำลังดีดตัวขึ้น เนื่องจากมีคำสั่งซื้อใหม่ๆ หลั่งไหลเข้ามา ดังที่เห็นได้จากตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Purchasing Managers Index หรือ PMI) ของเดือนธันวาคม 2011 ซึ่งมีการขยับขึ้นมามากที่สุดในรอบ 6 เดือน โดยอยู่ที่ 54.2 จากระดับ 51.0 ในเดือนพฤศจิกายน หลังจากที่ก่อนหน้านั้นได้ร่วงหล่นลงไปอยู่ที่ 52.0 ในเดือนตุลาคม ดัชนี PMI ของอินเดียซึ่งรวบรวมจัดทำโดย HSBC/Markit นี้ คำนวณจากการสำรวจความคิดเห็นของพวกผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในบรรดาบริษัทขนาดใหญ่ที่สุด ถ้าหากดัชนีมีค่าสูงกว่าระดับ 50 ก็เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจมีการขยายตัว แต่ถ้าต่ำกว่าก็แสดงถึงการหดตัว
สำหรับดัชนี PMI ตัวที่ครอบคลุมรวมเอาภาคอุตสาหกรรมการผลิตและภาคบริการเข้าด้วยกันนั้น ก็ปรากฏว่าขยับเพิ่มขึ้นจากระดับ 52.3 ในเดือนพฤศจิกายน มาอยู่ที่ 54.7 ในเดือนธันวาคม ขณะเดียวกับที่ตัวเลขการจ้างงานก็กระเตื้องดีขึ้น
สภาพเช่นนี้ย่อมถือเป็นข่าวดีสำหรับนักลงทุนในอินเดีย ซึ่งเงินรูปีกลายเป็นสกุลเงินตราที่มีผลประกอบการเลวร้ายที่สุดของเอเชียในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา โดยหล่นฮวบลงมาเกือบๆ 17% ตั้งแต่ยืนอยู่แถวๆ 45.339 รูปต่อ 1 ดอลลาร์เมื่อตอนเริ่มต้นปีใหม่ 2011 จนมาอยู่ที่ 52.985 รูปีแลกได้ 1 ดอลลาร์ในตอนก่อนเช้ามืดวันที่ 30 ธันวาคม 2011 พอย่างเข้าปีใหม่ 2012 นี้ ค่าเงินรูปีได้ไหลลงจนทะลุระดับ 53 รูปีต่อดอลลาร์ในวันที่ 4 มกราคม ก่อนที่จะเด้งขึ้นมาได้เล็กน้อย
เวลานี้พวกผู้สังเกตการณ์จึงต่างจับจ้องไปที่ธนาคารกลางของแดนภารตะ ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า รีเสิร์ฟ แบงก์ ออฟ อินเดีย (Reserve Bank of India หรือ RBI) ว่าจะยังคงเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อสกัดกั้นขัดขวางพวกนักเก็งกำไรต่อไปหรือไม่ หลังจากที่ได้เริ่มกระทำเช่นนั้นนับแต่ที่สกุลเงินตราของอินเดียมีค่าลดต่ำลงกว่าระดับสำคัญยิ่งทางจิตวิทยาที่ 50 รูปีต่อดอลลาร์
ในทางเป็นจริงแล้ว ถึงแม้การเข้าแทรกแซงของ RBI แต่เงินรูปียังคงอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่องมิได้หยุด จนทำให้พวกช่างสงสัยตั้งคำถามขึ้นมาว่า การปฏิบัติการของแบงก์ชาติอินเดียจะบังเกิดผลใดๆ หรือไม่ในช่วงระยะสั้นเฉพาะหน้านี้ ในเมื่อสถาบันต่างๆ จำนวนมากยังคง “ทำช็อต” นั่นคือ ปล่อยขายเงินรูปีด้วยความเชื่อว่ามันจะมีค่าลดต่ำลงไปอีกในอนาคต โทรทัศน์ข่าวธุรกิจ ซีเอ็นบีซี ได้อ้างความเห็นของพวกนักวิเคราะห์แห่งค่ายมอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) ที่บอกว่า เงินรูปีจะยังคงตกอยู่ใต้แรงกดดันบีบคั้นเช่นนี้ต่อไป ตราบเท่าที่ตลาดการเงินโลกเผชิญภัยคุกคามที่ว่า จะต้องประสบปัญหาไร้สภาพคล่อง ถึงแม้ความเคลื่อนไหวเข้าแทรกแซงของ RBI จะช่วยให้อาการวูบวาบขึ้นลงแรงๆ ของเงินรูปี ลดลงมาได้ก็ตามที
ทางด้านตลาดหุ้นแห่งต่างๆ ของอินเดีย ก็มิได้มีผลงานในปี 2011 ที่ดีกว่าเงินรูปีเลย ถึงแม้ดัชนีหุ้น เซนเซกซ์ 30 (Sensex 30) ของตลาด BSE ซึ่งถือเป็นมาตรวัดสำคัญของหุ้นแดนภารตะ ได้ฟื้นตัวขึ้นมาประมาณ 4.5% จากจุดที่ลงไปต่ำสุดในรอบปีที่แล้ว ณ ระดับ 15,175 ในวันที่ 20 ธันวาคม ทั้งนี้ดัชนีนี้ปิดการซื้อขายในวันที่ 5 มกราคม 2011 ที่ระดับ 15,857 เปรียบเทียบกับตอนปิดการซื้อขายในวันแรกทำการซื้อขายของปี 2011 ซึ่งอยู่ที่ 20,561 เท่ากับว่าดัชนีนี้ได้ลบลง 22.8% ในรอบระยะเวลา 12 เดือน ยิ่งถ้ากนำมาคำนวณพ่วงกับการอ่อนตัวของค่าเงินรูปีด้วยแล้ว นี่ก็จะเท่ากับว่ามูลค่าของหุ้นอินเดียลดลงถึงหนึ่งในสามเต็มๆ ทีเดียวเมื่อคิดคำนวณกันเป็นสกุลเงินดอลลาร์
การตกวูบของค่าเงินรูปียังเป็นตัวเติมเชื้อเพลิงให้แก่ภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งจวบจนถึงเวลานี้ยังคงปักหลักอยู่ในระดับที่สูงจนน่าวิตก ณ กว่า 9% นิดๆ เมื่อคำนวณจากราคาขายส่ง ถึงแม้นี่เป็นตัวเลขซึ่งต่ำลงมาจากระดับ 9.73% ในเดือนตุลาคมแล้วก็ตาม ถ้าหากระดับราคาสามารถที่จะลดลงไปได้อย่างต่อเนื่องตามที่คาดการณ์กันไว้ ก็ย่อมเป็นการสร้างเงื่อนไขให้ RBI ลงมือปฏิบัติการลดอัตราดอกเบี้ยลงมาในที่สุด ทว่าเรื่องนี้เห็นทีจะตั้งความหวังอะไรนักไม่ได้ โดยตามรายงานของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg News) สุภีร์ โกคาร์น (Subir Gokarn) รองผู้ว่าการ RBI ได้กล่าวระหว่างเข้าร่วมการประชุมที่สิงคโปร์เมื่อวันที่ 5 มกราคมว่า การที่เงินเฟ้ออยู่ในอัตราที่สูง บวกกับค่าเงินรูปีอ่อนตัว เมื่อรวมกับการที่ราคาพลังงานของโลกอยู่ในระดับสูงลิ่วเข้าไปอีก ทำให้อาจจะเป็นเรื่องลำบากที่ RBI จะกลับหันหลังจากการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแล้วครั้งเล่าในระยะหลังๆ นี้ จนกระทั่งอยู่ในระดับสูงสุดเป็นสถิติ
การที่อัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นต้นทุนของเงินลงทุน ได้พุ่งขึ้นไปจนสูงลิ่วเช่นนี้ ทำให้การขยายธุรกิจเป็นไปด้วยความลำบาก ตามผลการสำรวจที่จัดทำโดยบริษัทวิจัย คริสซิล รีเสิร์ช (Crisil Research) และรายงานเอาไว้ในหนังสือพิมพ์อีโคโนมิก ไทมส์ (Economic Times) ของอินเดีย บริษัทระดับท็อป 500 อันดับแรกของอินเดีย (ไม่รวมพวกธนาคารและสถาบันการเงิน ตลอดจนบริษัททำการตลาดด้านน้ำมันที่เป็นกิจการของรัฐ) ต่างมีความสามารถในการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยลดน้อยลงจนอยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี ทั้งนี้ไม่เพียงเพราะอัตราดอกเบี้ยสูงมากเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะผลกำไรจากการดำเนินงานก็ตกลงมาด้วย
รองผู้ว่า โกคาร์น ชี้ว่า ถึงแม้ “วัฏจักรด้านการเงิน” (monetary cycle) ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในเดือนมีนาคม 2010 “ได้ไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว” แต่ “นั่นไม่ได้หมายความว่า เป็นเรื่องแน่นอนแล้วที่กำลังจะเกิดการหักเลี้ยวกลับอย่างรวดเร็ว นั่นก็เพราะความเสี่ยงทางด้านเงินเฟ้อยังคงมองเห็นได้อย่างชัดเจน ยังคงอยู่ในระดับที่สูงมาก” บุคคลสำคัญของแบงก์ชาติอินเดียยังคงมีความเห็นเช่นนี้ ถึงแม้มีข่าวพาดหัวตัวโตว่า อัตราเงินเฟ้อจากราคาอาหารกำลังลดต่ำลงแล้วในทางเป็นจริงในระหว่างสัปดาห์ที่สามของเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นการกลับตาลปัตราจากแนวโน้มขยับเพิ่มสูงขึ้นก่อนหน้านั้น สาเหตุเป็นเพราะดัชนีเงินเฟ้อตัวหลักของอินเดีย ยังคงอยู่ในระดับที่สูงถึง 9.1% ในเดือนพฤศจิกายน ถึงแม้จะเป็นตัวเลขต่ำที่สุดในรอบ 1 ปี และลดต่ำลงมาจากระดับ 9.7% ในเดือนตุลาคมก็ตามที สำหรับราคาเชื้อเพลิงในสัปดาห์เดียวกันได้ขยับสูงขึ้นในอัตราเท่ากับ 14.4% ต่อปี
ทางด้านจีน ตัวเลขดัชนี PMI อย่างเป็นทางการของประเทศนั้น ซึ่งรายงานโดยสหพันธ์โลจิสติกส์และการวางแผนแห่งประเทศจีน (China Federation of Logistics and Planning หรือ CFLP) ในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม ปรากฏว่าได้ขยับสูงขึ้นไปอยู่ที่ 50.3 ในเดือนธันวาคม จากระดับ 49 ในเดือนพฤศจิกายน ขณะดัชนี PMI “อีกตัวหนึ่ง” ซึ่งพวกนักเฝ้าจับตามองจีนต่างให้ความสนใจติดตาม โดยที่ผู้รวบรวมจัดทำก็เป็นรายเดียวกับที่อินเดีย นั่นคือ เอชเอสบีซี/มาร์กิต ก็ไต่ขึ้นมาเช่นเดียวกัน คืออยู่ที่ 48.7 จาก 47.7 ทว่ายังคงบ่งชี้ให้เห็นการหดตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากตัวเลขยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50
อย่างไรก็ดี แม้กระทั่งพวกช่างข้องใจสงสัย ก็ยังคงประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2012 ว่าอยู่ภายในกรอบตัวเลข 8% ซึ่งยึดถือกันมานมนานแล้วว่าคืออัตราเติบโตขั้นต่ำสุดที่จะสามารถสร้างตำแหน่งงานได้มากเพียงพอที่จะดูดซับบรรดาผู้เข้าสู่ตลาดแรงงานในประเทศหน้าใหม่ๆ สำหรับตัวเลขคาดการณ์การเจริญเติบโตของจีดีพีจีนปีนี้ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปนั้น ยืนอยู่ที่เกินกว่า 8% หน่อยๆ
จากการที่เศรษฐกิจของชาติที่ชี้นำด้วยการส่งออกอย่างหนักหน่วงเฉกเช่นสิงคโปร์และเกาหลีใต้ กำลังอยู่ในอาการอ่อนปวกเปียก ทำให้จีนและอินเดียยิ่งต้องมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการผลักดันการเจริญเติบโตของเอเชีย อย่างน้อยที่สุดก็ในช่วงครึ่งแรกของปี 2012 อย่างไรก็ดี จีนดูเหมือนแทบจะไม่ต่างจากอินเดียกี่มากน้อย นั่นคือ เศรษฐกิจอยู่ในฐานะที่เฉียดฉิวจวนเจียนเต็มที
ดร.โรเบิร์ต เอ็ม คัตเลอร์ (www.robertcutler.org) สำเร็จการศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) และมหาวิทยาลัยมิชิแกน และได้ทำงานวิจัยตลอดจนสอนอยู่ตามมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ทั้งในสหรัฐฯ, แคนาดา, ฝรั่งเศส, สวิตเซอร์แลนด์, และรัสเซีย เวลานี้เขาเป็นนักวิจัยอาวุโสอยู่ที่ สถาบันเพื่อยุโรป, รัสเซีย, และยูเรเชียศึกษา (Institute of European, Russian and Eurasian Studies) มหาวิทยาลัยคาร์ลตัน (Carleton University) ประเทศแคนาดา เขายังรับเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวในกิจการต่างๆ หลายหลาก