เอเอฟพี - สหรัฐฯ เดินเครื่องผลักดันการต่อต้านการคุกคามสิทธิเสรีภาพของกลุ่มเกย์ และเลสเบียน เป็นหัวใจสำคัญสำหรับนโยบายต่างประเทศฉบับอเมริกัน วานนี้ (6) พร้อมทั้งมีการตั้งกองทุนสนับสนุนองค์กรสิทธิกลุ่มรักร่วมเพศทั่วโลก
วานนี้ ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ มีหนังสือคำสั่งให้ทุกหน่วยงานของรัฐบาลที่ดำเนินนโยบายต่างประเทศ รับภารกิจกระตุ้นประเทศต่างๆ ให้เห็นความสำคัญในสิทธิของเลสเบียน เกย์ กลุ่มรักร่วมเพศ และ กลุ่มคนข้ามเพศ
“ผมมีความกังวลใจอย่างยิ่งเกี่ยวกับปัญหาความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มรักร่วมเพศทั่วโลก” โอบามา ระบุในหนังสือคำสั่งประธานาธิบดี
ขณะเดียวกัน ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ตอบสนองคำสั่งโอบามา โดยประกาศกลางที่ประชุมสหประชาชาติ ณ กรุงเจนีวา จะให้เงินทุนสนับสนุน 3 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 90 ล้านบาท) ตั้งกองทุนความเสมอภาคโลก (Global Equality Fund) เพื่อสนับสนุนองค์กรภาคสังคมที่ต่อสู้เพื่อสิทธิของกลุ่มรักร่วมเพศทั่วโลก
“เกยไม่ใช่นวัตกรรมของตะวันตก แต่คือความเป็นจริงของมนุษย์” คลินตัน กล่าวสุนทรพจน์ด้วยถ้อยความที่จับใจผู้ฟัง “เกย์เกิดและอยู่ในทุกๆ สังคมบนโลก เกย์มีทุกวัย ทุกเชื้อชาติ ทุกความเชื่อ มีเกย์ที่เป็นแพทย์ เป็นครู เป็นเกษตรกร เป็นนายธนาคาร เป็นนายทหาร และเป็นนักกีฬา”
นโยบายของสหรัฐฯ ครั้งนี้ประกาศออกมา ท่ามกลางการเห็นความสำคัญของการเลือกปฏิบัติต่อพลเรือนเกย์ของนานาชาติ และปัญหาในแอฟริกาที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เช่น กฎหมายของไนจีเรียที่ไม่รับรองการสมรสของคู่เกย์ และห้ามการแสดงความรักระหว่างคู่เกย์กลางที่สาธารณะ
ขณะที่อังกฤษ เตือนว่า อาจพิจารณาระงับความช่วยเหลือประเทศที่ไม่รับรองสิทธิเกย์
ทั้งนี้ ประธานาธิบดี โอบามา มีคำสั่งให้หน่วยงานของรัฐต่อสู้กับการคุกคามกิจกรรมของชาวสีม่วงในต่างแดน และต่อสู้ขจัดปัญหาการเลือกปฏิบัติ อคติ และการไม่ยอมรับกลุ่มรักร่วมเพศ
คำบัญชาของผู้นำสหรัฐฯ กำชับกำชาให้กระทรวงต่างประเทศ และกระทรวงความมั่นคงมาตุภูมิ ให้การคุ้มครองสิทธิของผู้ลี้ภัยที่เป็นเกย์ พร้อมทั้งระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯ อาจอนุมัติการตั้งรกรากแก่ผู้ที่สมควรได้รับการปกป้องเร่งด่วน นอกจากนี้ โอบามายังปรารถนาให้ทุกหน่วยงานจัดทำรายงานความคืบหน้าประจำปี
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนโอบามาตัดสินใจที่จะไม่ใช้ไม้แข็งด้วยการตัดความช่วยเหลือแก่ประเทศที่ไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้อง สำหรับประเด็นนี้ เคตลิน เฮย์เดน โฆษกหญิงแห่งสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ กล่าวว่า “เราไม่ได้กำลังพูดถึงการตัดความช่วยเหลือ หรือการให้ความช่วยเหลือ แต่เรากำลังพูดกันถึงการใช้เครื่องมือที่มี เช่น การสนับสนุน เพื่อเปลี่ยนนโยบายเป็นการกระทำ”