เอเอฟพี/บีบีซี - รัฐบาลทั่วโลกควรหาทางช่วยเหลือบุคคลไร้สัญชาติจำนวน 12 ล้านคน ซึ่งใช้ชีวิตอยู่โดยปราศจากสิทธิขั้นพื้นฐาน สำนักข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติแถลง วันนี้ (25)
“บุคคลไร้สัญชาติกลายเป็นคนที่ไร้ตัวตนจริงๆ” เอริกา เฟลเลอร์ ผู้ช่วยข้าหลวงใหญ่เพื่อการคุ้มครอง แถลงต่อผู้สื่อข่าว “เราประเมินว่าทั่วโลกมีคนไร้สัญชาติประมาณ 12 ล้านคน ... ซึ่งอาจเป็นการประเมินต่ำเกินไปด้วยซ้ำ”
คำแถลงนี้มีขึ้นเพื่อกระตุ้นให้นานาชาติร่วมประกาศสัตยาบัน และดำเนินการตามข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีอยู่แล้ว เพื่อลดจำนวนบุคคลไร้สัญชาติ เนื่องจากคนเหล่านี้สูญเสียสิทธิขั้นพื้นฐาน ทั้งการเข้าโรงเรียน หรือการเปิดบัญชีธนาคาร เอริกา เฟลเลอร์ กล่าว
“หากพวกเขามีรายได้ไม่พอประทังชีวิต เพราะไม่สามารถเข้าทำงานได้ พวกเขาก็จะหาทางเลี้ยงชีพด้วยวิธีที่ผิดกฎหมาย”
ทั้งนี้ ปัญหาบุคคลไร้สัญชาติมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ทั้งการถูกปฏิเสธให้สัญชาติ เช่น กรณีของชาวเคิร์ดในอิรักสมัยซัดดัม ฮุสเซน, ผลจากการแบ่งแยกประเทศ เช่น กรณีของอดีตยูโกสลาเวีย รวมไปถึง “ความโชคร้ายทางกฎหมาย”
เฟลเลอร์ยกตัวอย่างกรณีนี้ว่า “กฎหมายสัญชาติบราซิลก่อนมีการแก้ไขเมื่อปี 2007 ระบุไว้ว่า เด็กบราซิลที่เกิดในต่างแดน จะไม่ได้สัญชาติบราซิล”
นอกจากนี้ บีบีซีรายงานว่าประเทศที่มีบุคคลไร้สัญชาติจำนวนมากประกอบด้วย เอสโตเนีย อิรัก เคนยา ลัตเวีย พม่า เนปาล ซีเรีย และไทย
สำนักข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติจะจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีในเดือนธันวาคม ฉลองวาระครบรอบ 50 ปีของการประชุมว่าด้วยการลดจำนวนบุคคลไร้สัญชาติ ทว่า กระทั่งปัจจุบัน มีประเทศที่ให้สัตยาบันรับรองมติของสหประชาชาติในเรื่องนี้เพียง 38 ประเทศเท่านั้น
“สิทธิพลเรือนเป็นหัวใจของอำนาจอธิปไตย จนบางครั้งทำให้รัฐต่างๆ เห็นแก่ตัว หวงแหนสิทธิที่จะพิจารณาให้ใครเป็นพลเรือน ใครควรอยู่ในดินแดนของตน” เอริกา เฟลเลอร์ กล่าว “ถ้าเป็นคนไร้สัญชาติ คุณจะตายโดยไม่มีการบันทึก นั่นเพราะคุณไม่มีตัวตน”
