เอเอฟพี - สหรัฐฯ จับตาดูการเลือกตั้งทั่วไปของไทย ที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ (3 ก.ค.) นี้อย่างวิตกกังวล โดยหวั่นจะก่อให้เกิดความไม่มั่นคงครั้งใหม่ ซึ่งอาจลดบทบาทของไทยในฐานะพันธมิตรในเอเชียที่เก่าแก่ที่สุดของวอชิงตันลง
รัฐบาลของประธานาธิบดี บารัค โอบามา ยกให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความสำคัญมาเป็นอันดับต้นๆ แต่เน้นไปที่การสร้างความสัมพันธ์กับอินโดนีเซีย และเวียดนาม ท่ามกลางความกังวลว่าไทยจะหมกมุ่นกับความขัดแย้งภายในประเทศมากเกินไป
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ หวังว่า การเลือกตั้งของไทยครั้งนี้ จะดำเนินไปอย่างราบรื่น และปูทางไปสู่การปรองดอง แต่หลายฝ่ายกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เลวร้ายที่สุด โดยเฉพาะเมื่อการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งถูกครอบงำไปด้วยเรื่องของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร
เคิร์ต แคมป์เบลล์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ด้านกิจการเอเชียตะวันออก กล่าวในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ว่า สหรัฐฯ ต้องการร่วมงานใกล้ชิดกับไทยอย่างมาก และช่วงเวลาของการเลือกตั้งจะมีผลสำคัญต่อการสร้างความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ
สหรัฐฯได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้ความสงบ และระมัดระวังไม่เข้าไปก้าวก่ายการเลือกตั้งครั้งนี้โดยตรง หลังจากรัฐบาลของนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประท้วงเหตุที่ แคมป์เบลล์ พบปะพูดคุยกับแกนนำกลุ่มเสื้อแดง ที่ก่อเหตุไม่สงบครั้งใหญ่ในปีที่ผ่านมา
สำหรับนโยบายต่างประเทศนั้น ไม่ได้มีบทบาทสำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่เชื่อว่า ทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ต่างก็ต้องการความสัมพันธ์ที่อบอุ่นกับสหรัฐฯ ในฐานะประเทศพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง
ทิโมธี ฮัมลิน นักวิเคราะห์จากศูนย์สติมสัน กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นมิตรกับชาติตะวันตก และค่อนข้างกับทุกประเทศ ทว่า นับตั้งแต่เหตุรัฐประหารปี 2006 เป็นต้นมา ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ก็ชะงักเป็นกลาง และเป็นโอกาสให้อินโดนีเซีย เวียดนาม และประเทศอื่นๆ ก้าวเข้ามา”
ฮัมลิน ยังเสริมว่า การทูตของไทยในเวลานี้ยังคงต้องเป็นการอธิบายสถานการณ์ภายในประเทศอันซับซ้อนให้แก่นานาชาติได้เข้าใจ ซึ่งเขาเชื่อว่า การเลือกตั้งอย่างสันติ ที่ผู้ชนะเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลนั้น คือ วิธีพิสูจน์ที่ดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม ผลการเลือกตั้งครั้งนี้อาจไม่ได้ราบรื่นเช่นนั้น และยังต้องรอดูท่าทีของสหรัฐฯ ต่อไปหากกองทัพเข้าแทรกแซงการเลือกตั้งครั้งนี้ หลังจากเคยระงับเงินช่วยเหลือด้านกลาโหม 24 ล้านดอลลาร์ หลังเหตุรัฐประหารปี 2006 แต่ได้ฟื้นความช่วยเหลือนั้นอีกครั้งเมื่อต้นปี 2008 ที่ผ่านมา
ขณะที่ในสหรัฐฯ เองก็มีความเห็นเกี่ยวกับประเทศไทยหลากหลาย สหายบางคนของไทย ที่ชัดเจนที่สุด คือ ส.ส.เอนิ ฟาเลโอมาเวกา ได้ตำหนิวอชิงตัน ว่า ตีตัวออกห่างพันธมิตรที่เชื่อถือได้โดยไม่จำเป็น ส่วนสมาชิกสภาอีกหลายคนมองว่า การตัดความช่วยเหลือนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญ
ด้าน โจชัว เคอร์ลันต์ซิค สมาชิกสภาความสัมพันธ์กับต่างประเทศของสหรัฐฯ แสดงท่าทีต้องการให้รัฐบาลวอชิงตันตอบโต้อย่างเด็ดขาดกว่าเดิม หากทหารไทยพยายามก่อรัฐประหารอีกครั้ง