เอเอฟพี - สำนักงบประมาณรัฐสภาสหรัฐฯ เตือน การกู้ยืมภาคสาธารณะที่เพิ่มขึ้นมากกะทันหันอาจก่อหนี้สินได้ถึง 100% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศภายในปี 2021 หากแนวทางที่เป็นอยู่ในปัจจุบันยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
รายงานของหน่วยงานคลังสมองอิสระด้านงบประมาณชี้ว่า หนี้ภาครัฐจะสูงเกือบ 70% ของจีดีพีภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งถือเป็นเปอร์เซ็นต์สูงที่สุดนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อเทียบกับหนี้สินในปี 2008 ซึ่งอยู่ที่ 40% ของจีดีพี และเกือบเท่ากับระดับเฉลี่ยในช่วง 40 ปี ที่ 37%
สำนักงบประมาณดังกล่าว หรือซีบีโอ ยังระบุว่า หากยังใช้กฎหมายลดภาษี ที่ประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2001 ต่อไป ภาระหนี้ของสหรัฐฯ อาจเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 2 เท่าของจีดีพีในปี 2035 ได้ทีเดียว
ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หนี้โดยรวมของประเทศทะลุถึงข้อจำกัดทางกฎหมาย ที่ 14.29 ล้านล้านดอลลาร์ จนเกิดแรงกดดันให้เพิ่มเพดานดังกล่าวก่อนกำหนดเส้นตาย ในวันที่ 2 สิงหาคม โดยหากผ่านเส้นตายนั้นไปแล้ว กระทรวงการคลังระบุว่า สหรัฐฯ อาจต้องพักชำระหนี้
การเจรจาเพิ่มข้อจำกัดหนี้ นำโดยรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน อยู่ในระหว่างดำเนินการมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ทว่า กลับมีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นับตั้งแต่ที่พรรครีพับลิกันได้ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร พวกเขาก็ปฏิเสธที่จะเพิ่มเพดานหนี้สิน หากไม่มีการลดงบประมาณครั้งใหญ่เป็นการแลกเปลี่ยน
การตัดลดงบประมาณนั้นรวมถึง การลดผลประโยชน์จากแผนการเกษียณอายุ หรือประกันสังคม และแผนการแพทย์อื่นๆ ที่รัฐบาลเป็นผู้ให้ทุน หรือประกันสุขภาพ ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่ทางเดโมแครตยืนกรานปฏิเสธ
รายงานของซีบีโอชี้ว่า โครงการประกันสังคมและสุขภาพเหล่านี้จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่โตต่อการขาดดุลในอนาคต โดยแนะว่าหากต้องการคงภาวะการขาดดุล และหนี้สินไม่ให้เพิ่มขึ้น ผู้วางนโยบายจะต้องเพิ่มรายได้ที่ยั่งยืนเพื่อให้จีดีพีมีเปอร์เซ็นต์สูงขึ้น รวมถึงลดการใช้จ่ายจำนวนมากๆ หรือปรับเปลี่ยนโครงการทั้งสอง เป็นต้น