เอเอฟพี - ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำซีเรีย อาจผ่านพ้นวิกฤตการลุกฮือต่อต้านรัฐบาลไปได้ ด้วยความจงรักภักดีของกองทัพ และแรงกดดันอันน้อยนิดจากนานาชาติ แม้มีการสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงจนกลายเป็นเหตุนองเลือด นักวิเคราะห์การเมืองซีเรียเสนอแนะ
“สังคมโลกสงวนท่าทีในการตอบโต้การกระทำของรัฐบาลซีเรีย ซึ่งชัดเจนแล้วว่ากำชัยชนะสงครามยกแรกด้วยการนองเลือด” นักวิชาการชาวซีเรียในกรุงอัมมาน เมืองหลวงจอร์แดน เปิดเผยกับเอเอฟพีโดยขอปิดบังชื่อ “อิสราเอลพอใจกับสภาพการณ์ที่เป็น สหรัฐฯ ก็ยังต้องการซีเรีย เพราะอิทธิพลในการต่อต้านมุสลิมสุหนี่ในอิรัก และซีเรียยังเป็นตัวเชื่อมโยงสำคัญระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอิรัก”
นอกจากนี้ อาบู อัดฮัม ชาวซีเรียอพยพในจอร์แดนอีกรายหนึ่งได้วิพากษ์วิจารณ์ประชาคมนานาชาติว่า “ชาติมหาอำนาจเมินเฉย เมื่อสถานการณ์ความวุ่นวายมาถึงซีเรีย เพราะชาติมหาอำนาจไม่ต้องการเห็นความโกลาหลลุกลามไปยังอิสราเอล”
“ตอนนี้ดูเหมือนบาชาร์ อัสซาดกำลังถือไพ่เหนือกว่า แต่ผมหวังว่าประชาชนซีเรียจะเป็นฝ่ายชนะในที่สุด ประชาชนและรัฐบาลเดินมาถึงจุดที่ไม่สามารถกลับลำได้แล้ว” อัดฮัมกล่าว เขาเป็นหนึ่งในผู้ต่อต้านรัฐบาลซีเรียที่อาศัยอยู่ในจอร์แดน ตั้งแต่ปี 1996 หลังถูกจองจำในคุกซีเรียช่วงปี 1986 - 1991
ทั้งนี้ ข้อมูลจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนหลายกลุ่มยืนยันว่า มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 600 คน และอีกกว่า 8,000 คนทั่วประเทศถูกจับขังหรือหายสาบสูญ ระหว่างการชุมนุมประท้วงที่ล่วงเลยเข้าสู่สัปดาห์ที่ 8
แม้ชาติมหาอำนาจยังไม่ได้ล็อกเป้าหมายเล่นงาน บาชาร์ อัล-อัสซาดโดยตรง แต่วันนี้ (10) มีการออกบทลงโทษเจ้าหน้าที่ซีเรีย 13 คน ซึ่งรวมทั้ง มาห์เอร์ อัล-อัสซาด น้องชายผู้นำซีเรีย จากบทบาทในการสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรง มาห์เอร์ อัล-อัสซาด และเจ้าหน้าที่อีก 12 คนนี้ถูกสั่งระงับหนังสือเดินทางและอายัดทรัพย์ นอกจากนี้มี 27 ประเทศที่กำหนดมาตรการห้ามส่งอาวุธ และระงับการส่งเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่อาจใช้กดขี่ข่มเหงประชาชนเข้าไปยังซีเรีย
เมื่อวันศุกร์ (6) สหรัฐฯ ออกโรงเตือนว่า อาจดำเนินมาตรการขั้นต่อไป หากรัฐบาลซีเรียยังคงปราบปรามผู้ชุมนุมด้วยความรุนแรง ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลซีเรียได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สว่า สามารถควบคุมการชุมนุมของประชาชนได้แล้ว
“ดิฉันหวังว่าเราจะได้ร่วมกันเป็นสักขีพยานต่อบทสรุปของเรื่องนี้” บูเธียนา ชาบัน ที่ปรึกษาของอัสซาด ให้สัมภาษณ์กับสื่อสหรัฐฯ ฉบับที่ตีพิมพ์เมื่อวันจันทร์ (9) “ดิฉันคิดว่าตอนนี้เราผ่านวิกฤตการณ์ที่อันตรายที่สุดมาได้แล้ว”
ส่วน นาเฮด ฮัตตาร์ นักวิชาการชาวจอร์แดน ผู้เชี่ยวชาญประเด็นต่างๆ ในซีเรีย วิเคราะห์ว่า รัฐบาลได้กำราบความพยายามประลองกำลังภายในประเทศได้แล้ว
“ปัจจุบันไม่มีความกังวลถึงความแตกแยกระหว่างผู้ช่วยของอัสซาด ซึ่งต้องการแก้ปัญหาทางการเมือง กับหน่วยความมั่นคงที่นำโดย มาห์เอร์ อัล-อัสซาด และอาลี มัมลุค หัวหน้าหน่วยข่าวกรอง ซึ่งต้องการใช้วิธีการที่รุนแรง” เขากล่าว
อาบู อัดฮัมระบุเพิ่มเติมว่า รัฐบาลควบคุมกองทัพโดนสมบูรณ์
“มาห์เอร์ อัล-อัสซาดเป็นแกนนำกองกำลังพิทักษ์สาธารณรัฐ และกองพลทหารราบที่ 4 ซึ่งมีกำลังมากถึง 1 ใน 3 ของกองทัพ ทหารพวกนี้มีอาวุธครบมือ ไม่เหมือนกับกองพลอื่นๆ ที่เหลือ” เขากล่าว
ฮัตตาร์ระบุว่า “เหตุการณ์ในซีเรียได้กลายเป็นเรื่องความแตกต่างของนิกาย … ชนกลุ่มน้อยทางศาสนาและกลุ่มการเมืองต่างๆ ที่เคยสนับสนุนกลุ่มผู้ประท้วงในช่วงแรก ตอนนี้หันกลับมาหนุนหลังรัฐบาล เนื่องจากเกิดเหตุการณ์แบ่งแยกนิกายเกิดขึ้นบ่อยครั้ง”
เขาชี้ว่า ในเมืองดารา ศูนย์กลางการชุมนุมทางตอนใต้ของซีเรีย ผู้คนสามารถได้ยินเสียงรณรงค์ต่อต้านชาวคริสต์ดังขึ้นทั่ว และชาวคริสต์จำนวนหนึ่งถูกฆ่า หลังจากถูกตรวจบัตรประจำตัว
“สังคมโลกสงวนท่าทีในการตอบโต้การกระทำของรัฐบาลซีเรีย ซึ่งชัดเจนแล้วว่ากำชัยชนะสงครามยกแรกด้วยการนองเลือด” นักวิชาการชาวซีเรียในกรุงอัมมาน เมืองหลวงจอร์แดน เปิดเผยกับเอเอฟพีโดยขอปิดบังชื่อ “อิสราเอลพอใจกับสภาพการณ์ที่เป็น สหรัฐฯ ก็ยังต้องการซีเรีย เพราะอิทธิพลในการต่อต้านมุสลิมสุหนี่ในอิรัก และซีเรียยังเป็นตัวเชื่อมโยงสำคัญระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอิรัก”
นอกจากนี้ อาบู อัดฮัม ชาวซีเรียอพยพในจอร์แดนอีกรายหนึ่งได้วิพากษ์วิจารณ์ประชาคมนานาชาติว่า “ชาติมหาอำนาจเมินเฉย เมื่อสถานการณ์ความวุ่นวายมาถึงซีเรีย เพราะชาติมหาอำนาจไม่ต้องการเห็นความโกลาหลลุกลามไปยังอิสราเอล”
“ตอนนี้ดูเหมือนบาชาร์ อัสซาดกำลังถือไพ่เหนือกว่า แต่ผมหวังว่าประชาชนซีเรียจะเป็นฝ่ายชนะในที่สุด ประชาชนและรัฐบาลเดินมาถึงจุดที่ไม่สามารถกลับลำได้แล้ว” อัดฮัมกล่าว เขาเป็นหนึ่งในผู้ต่อต้านรัฐบาลซีเรียที่อาศัยอยู่ในจอร์แดน ตั้งแต่ปี 1996 หลังถูกจองจำในคุกซีเรียช่วงปี 1986 - 1991
ทั้งนี้ ข้อมูลจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนหลายกลุ่มยืนยันว่า มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 600 คน และอีกกว่า 8,000 คนทั่วประเทศถูกจับขังหรือหายสาบสูญ ระหว่างการชุมนุมประท้วงที่ล่วงเลยเข้าสู่สัปดาห์ที่ 8
แม้ชาติมหาอำนาจยังไม่ได้ล็อกเป้าหมายเล่นงาน บาชาร์ อัล-อัสซาดโดยตรง แต่วันนี้ (10) มีการออกบทลงโทษเจ้าหน้าที่ซีเรีย 13 คน ซึ่งรวมทั้ง มาห์เอร์ อัล-อัสซาด น้องชายผู้นำซีเรีย จากบทบาทในการสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรง มาห์เอร์ อัล-อัสซาด และเจ้าหน้าที่อีก 12 คนนี้ถูกสั่งระงับหนังสือเดินทางและอายัดทรัพย์ นอกจากนี้มี 27 ประเทศที่กำหนดมาตรการห้ามส่งอาวุธ และระงับการส่งเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่อาจใช้กดขี่ข่มเหงประชาชนเข้าไปยังซีเรีย
เมื่อวันศุกร์ (6) สหรัฐฯ ออกโรงเตือนว่า อาจดำเนินมาตรการขั้นต่อไป หากรัฐบาลซีเรียยังคงปราบปรามผู้ชุมนุมด้วยความรุนแรง ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลซีเรียได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สว่า สามารถควบคุมการชุมนุมของประชาชนได้แล้ว
“ดิฉันหวังว่าเราจะได้ร่วมกันเป็นสักขีพยานต่อบทสรุปของเรื่องนี้” บูเธียนา ชาบัน ที่ปรึกษาของอัสซาด ให้สัมภาษณ์กับสื่อสหรัฐฯ ฉบับที่ตีพิมพ์เมื่อวันจันทร์ (9) “ดิฉันคิดว่าตอนนี้เราผ่านวิกฤตการณ์ที่อันตรายที่สุดมาได้แล้ว”
ส่วน นาเฮด ฮัตตาร์ นักวิชาการชาวจอร์แดน ผู้เชี่ยวชาญประเด็นต่างๆ ในซีเรีย วิเคราะห์ว่า รัฐบาลได้กำราบความพยายามประลองกำลังภายในประเทศได้แล้ว
“ปัจจุบันไม่มีความกังวลถึงความแตกแยกระหว่างผู้ช่วยของอัสซาด ซึ่งต้องการแก้ปัญหาทางการเมือง กับหน่วยความมั่นคงที่นำโดย มาห์เอร์ อัล-อัสซาด และอาลี มัมลุค หัวหน้าหน่วยข่าวกรอง ซึ่งต้องการใช้วิธีการที่รุนแรง” เขากล่าว
อาบู อัดฮัมระบุเพิ่มเติมว่า รัฐบาลควบคุมกองทัพโดนสมบูรณ์
“มาห์เอร์ อัล-อัสซาดเป็นแกนนำกองกำลังพิทักษ์สาธารณรัฐ และกองพลทหารราบที่ 4 ซึ่งมีกำลังมากถึง 1 ใน 3 ของกองทัพ ทหารพวกนี้มีอาวุธครบมือ ไม่เหมือนกับกองพลอื่นๆ ที่เหลือ” เขากล่าว
ฮัตตาร์ระบุว่า “เหตุการณ์ในซีเรียได้กลายเป็นเรื่องความแตกต่างของนิกาย … ชนกลุ่มน้อยทางศาสนาและกลุ่มการเมืองต่างๆ ที่เคยสนับสนุนกลุ่มผู้ประท้วงในช่วงแรก ตอนนี้หันกลับมาหนุนหลังรัฐบาล เนื่องจากเกิดเหตุการณ์แบ่งแยกนิกายเกิดขึ้นบ่อยครั้ง”
เขาชี้ว่า ในเมืองดารา ศูนย์กลางการชุมนุมทางตอนใต้ของซีเรีย ผู้คนสามารถได้ยินเสียงรณรงค์ต่อต้านชาวคริสต์ดังขึ้นทั่ว และชาวคริสต์จำนวนหนึ่งถูกฆ่า หลังจากถูกตรวจบัตรประจำตัว