สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่าประเทศไทยยังเผชิญการแบ่งขั้วทางการเมืองของกลุ่มอิทธิพลหลายกลุ่ม โดยการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นอาจไม่ช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวแต่อย่างใด แม้กลุ่มการเมือง ประชาชน และภาคธุรกิจต่างรู้สึกยินดี แต่ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าผลการเลือกตั้งนั้นจะถูกคัดค้าน การเลือกตั้งอาจชะงัก หรืออาจเกิดการรัฐประหารขึ้นได้
นี่คือสิ่งที่รอยเตอร์สระบุว่าเป็นข้อสรุปปัญหา และความเสี่ยงสำคัญๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับการเมืองไทย ซึ่งน่าจับตาดู
ความไม่มั่นคงทางการเมือง
รอยเตอร์สระบุว่า ความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งแบ่งแยกคนเป็น 2 กลุ่ม คือสีแดง ได้แก่ บรรดาคนจนทั้งในเมืองและชนบท กับสีเหลือง ได้แก่ ผู้จงรักภักดีต่อพระมหากษัติรย์ ชนชั้นสูง อำมาตย์ และนายทหารระดับสูง ยังไม่มีสัญญาณว่าจะหาทางออกได้ และยิ่งมีแต่จะเลวร้ายลง โดยสิ่งที่น่าจับตามองคือ
สำหรับ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.นั้น การเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่าจะจัดขึ้นในปลายเดือนมิถุนายน หรือต้นเดือนกรกฎาคมเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ได้สนองความต้องการของพวกเขา เพราะพวกเขายังเรียกร้องให้ปล่อยตัวแนวร่วมกลุ่มเสื้อแดง ที่ถูกจับกุมไว้ รวมถึงการสอบสวนเหตุสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงในปีที่ผ่านมาอย่างโปร่งใส่ และหากดีเอสไอยังไม่มีผลสรุปที่แน่ชัด หรือมีนัยว่าจะปกปิดความผิดของรัฐบาลและกองทัพ พวกเขาก็อาจจะออกมาต่อต้านอีก
ขณะที่ภายในกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเอง และผู้มีอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังการชุมนุม พยายามจะไม่ให้มีการเลือกตั้ง เพราะต้องการรัฐบาลที่แต่งตั้งขึ้น ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพระมหากษัตริย์ โดยหากคณะกรรมการการเลือกตั้งเริ่มลาออก หรือเกิดระเบิดบริเวณใกล้ทำเนียบรัฐบาล หรือข่าวลือเกี่ยวกับการรัฐประหารแพร่สะพัดออกไป ก็อาจก่อให้เกิดปัญหา และอาจทำให้การเมืองไทยเป็นอัมพาตได้มากยิ่งขึ้น
ส่วนผลที่ตามมาจากการเลือกตั้งทั่วประเทศนั้นก็ไม่น่าจะแก้ปัญหาภายในประเทศได้ และอาจทำให้ปัญหาเหล่านั้นยิ่งรุนแรงขึ้นอีก เนื่องจากไม่น่าจะมีพรรคที่ชนะด้วยเสียงข้างมาก หรือหากพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณได้เสียงมากกว่าอย่างที่เคยเป็นมาในการเลือกตั้งทุกครั้งตลอด 10 ปี กลุ่มเสื้อเหลืองก็ต้องออกมาต่อต้าน และขัดขวางรัฐบาลใหม่อย่างแน่นอน โดยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอาจต้องหาพรรคพวกของตัวเองในกองทัพ ซึ่งจะนำไปสู่การก่อรัฐประหาร เพื่อป้องกันนายพลระดับสูงโค่นล้มอำนาจ
อย่างไรก็ตาม หากนายกฯ อภิสิทธิ์ชนะ โดยอาจถูกร้องเรียนว่ามีการโกงการเลือกตั้ง กลุ่มเสื้อแดงก็จะออกมาชุมนุมประท้วงอย่างรุนแรง ขณะที่คาดว่าจะถูกฝ่ายทหารปราบปรามอย่างเด็ดขาด ซึ่งนักวิเคราะห์ และนักการเมืองบางคนเชื่อว่า กองทัพอาจเข้าแทรกแซงการเมืองอีกครั้งด้วย "การปฏิวัติเงียบ" และกระทำการต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าคนที่กองทัพเลือกจะได้เป็นผู้นำในรัฐบาลผสม
การเมืองกับทหาร
รอยเตอร์สชี้ว่า ทหาร และตำรวจของไทยถูกดึงเข้ามาพัวพันกับการเมืองอย่างลึกซึ้ง โดยตลอดระยะเวลา 79 ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยนั้นการก่อรัฐประหาร หรือเป็นแค่ความพยายามก่อรัฐประหารมาแล้ว 18 ครั้ง ทั้งยังมีการแทรกแซงซ่อนเร้นสั่งการว่าใครควรอยู่ หรือไม่ควรอยู่ในอำนาจนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งเหตุการณ์เช่นนั้นอาจเกิดขึ้นอีก
สิ่งที่น่าจับตาดูคือ ความแตกแยกในกองทัพ ขณะที่ทหารชั้นผู้ใหญ่ให้การสนับสนุนรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์มีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลผสม ทว่า ในกองทัพก็มีความขัดแย้งแบ่งพรรคแบ่งพวกเช่นเดียวกับที่เกิดในสังคมไทย และความแตกแยกในสถาบันที่มั่นคงที่สุดสถาบันหนึ่งของไทยนี้เป็นอันตรายทีเดียว
สำหรับข่าวลือเกี่ยวกับการรัฐประหารนั้น หากทหารเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองแล้ว นั่นจะทำให้ตลาดหุ้น การเงิน การลงทุนต่างๆ เป็นกังวล อย่างที่เคยกลายเป็นหายนะทางเศรษฐกิจมาแล้วในการรัฐประหารเมื่อปี 2006
นี่คือสิ่งที่รอยเตอร์สระบุว่าเป็นข้อสรุปปัญหา และความเสี่ยงสำคัญๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับการเมืองไทย ซึ่งน่าจับตาดู
ความไม่มั่นคงทางการเมือง
รอยเตอร์สระบุว่า ความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งแบ่งแยกคนเป็น 2 กลุ่ม คือสีแดง ได้แก่ บรรดาคนจนทั้งในเมืองและชนบท กับสีเหลือง ได้แก่ ผู้จงรักภักดีต่อพระมหากษัติรย์ ชนชั้นสูง อำมาตย์ และนายทหารระดับสูง ยังไม่มีสัญญาณว่าจะหาทางออกได้ และยิ่งมีแต่จะเลวร้ายลง โดยสิ่งที่น่าจับตามองคือ
สำหรับ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.นั้น การเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่าจะจัดขึ้นในปลายเดือนมิถุนายน หรือต้นเดือนกรกฎาคมเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ได้สนองความต้องการของพวกเขา เพราะพวกเขายังเรียกร้องให้ปล่อยตัวแนวร่วมกลุ่มเสื้อแดง ที่ถูกจับกุมไว้ รวมถึงการสอบสวนเหตุสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงในปีที่ผ่านมาอย่างโปร่งใส่ และหากดีเอสไอยังไม่มีผลสรุปที่แน่ชัด หรือมีนัยว่าจะปกปิดความผิดของรัฐบาลและกองทัพ พวกเขาก็อาจจะออกมาต่อต้านอีก
ขณะที่ภายในกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเอง และผู้มีอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังการชุมนุม พยายามจะไม่ให้มีการเลือกตั้ง เพราะต้องการรัฐบาลที่แต่งตั้งขึ้น ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพระมหากษัตริย์ โดยหากคณะกรรมการการเลือกตั้งเริ่มลาออก หรือเกิดระเบิดบริเวณใกล้ทำเนียบรัฐบาล หรือข่าวลือเกี่ยวกับการรัฐประหารแพร่สะพัดออกไป ก็อาจก่อให้เกิดปัญหา และอาจทำให้การเมืองไทยเป็นอัมพาตได้มากยิ่งขึ้น
ส่วนผลที่ตามมาจากการเลือกตั้งทั่วประเทศนั้นก็ไม่น่าจะแก้ปัญหาภายในประเทศได้ และอาจทำให้ปัญหาเหล่านั้นยิ่งรุนแรงขึ้นอีก เนื่องจากไม่น่าจะมีพรรคที่ชนะด้วยเสียงข้างมาก หรือหากพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณได้เสียงมากกว่าอย่างที่เคยเป็นมาในการเลือกตั้งทุกครั้งตลอด 10 ปี กลุ่มเสื้อเหลืองก็ต้องออกมาต่อต้าน และขัดขวางรัฐบาลใหม่อย่างแน่นอน โดยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอาจต้องหาพรรคพวกของตัวเองในกองทัพ ซึ่งจะนำไปสู่การก่อรัฐประหาร เพื่อป้องกันนายพลระดับสูงโค่นล้มอำนาจ
อย่างไรก็ตาม หากนายกฯ อภิสิทธิ์ชนะ โดยอาจถูกร้องเรียนว่ามีการโกงการเลือกตั้ง กลุ่มเสื้อแดงก็จะออกมาชุมนุมประท้วงอย่างรุนแรง ขณะที่คาดว่าจะถูกฝ่ายทหารปราบปรามอย่างเด็ดขาด ซึ่งนักวิเคราะห์ และนักการเมืองบางคนเชื่อว่า กองทัพอาจเข้าแทรกแซงการเมืองอีกครั้งด้วย "การปฏิวัติเงียบ" และกระทำการต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าคนที่กองทัพเลือกจะได้เป็นผู้นำในรัฐบาลผสม
การเมืองกับทหาร
รอยเตอร์สชี้ว่า ทหาร และตำรวจของไทยถูกดึงเข้ามาพัวพันกับการเมืองอย่างลึกซึ้ง โดยตลอดระยะเวลา 79 ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยนั้นการก่อรัฐประหาร หรือเป็นแค่ความพยายามก่อรัฐประหารมาแล้ว 18 ครั้ง ทั้งยังมีการแทรกแซงซ่อนเร้นสั่งการว่าใครควรอยู่ หรือไม่ควรอยู่ในอำนาจนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งเหตุการณ์เช่นนั้นอาจเกิดขึ้นอีก
สิ่งที่น่าจับตาดูคือ ความแตกแยกในกองทัพ ขณะที่ทหารชั้นผู้ใหญ่ให้การสนับสนุนรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์มีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลผสม ทว่า ในกองทัพก็มีความขัดแย้งแบ่งพรรคแบ่งพวกเช่นเดียวกับที่เกิดในสังคมไทย และความแตกแยกในสถาบันที่มั่นคงที่สุดสถาบันหนึ่งของไทยนี้เป็นอันตรายทีเดียว
สำหรับข่าวลือเกี่ยวกับการรัฐประหารนั้น หากทหารเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองแล้ว นั่นจะทำให้ตลาดหุ้น การเงิน การลงทุนต่างๆ เป็นกังวล อย่างที่เคยกลายเป็นหายนะทางเศรษฐกิจมาแล้วในการรัฐประหารเมื่อปี 2006
