เอเอฟพี/เอเจนซี - เจ้าหน้าที่รัฐบาลกรุงโตเกียว เผย ตรวจพบกัมมันตรังสีที่สูงกว่าระดับปกติในเมืองหลวงของญี่ปุ่น เช้านี้ (15) แต่ยืนยันว่าไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ ขณะที่ชาวกรุงพากันแตกตื่น บางรายอพยพหนีออกนอกเมือง บ้างก็กักตุนเสบียงอาหารเตรียมพร้อมไว้แล้ว
ซาอิริ โคกะ เจ้าหน้าที่รัฐบาลนครหลวงโตเกียว กล่าวว่า “เราเฝ้าสังเกตระดับกัมมันตรังสีที่สูงกว่าปกติในกรุงโตเกียวเช้านี้ แต่เราไม่คิดว่านั่นจะอยู่ในระดับที่ร่างกายมนุษย์จะได้รับผลกระทบ”
รัฐบาลกลางของญี่ปุ่นเตือนว่า ระดับกัมมันตรังสีบริเวณใกล้กับโรงไฟฟ้าฟูกูชิมะ ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงโตเกียวไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 250 กิโลเมตร เป็นอันตรายต่อมนุษย์แล้ว หลังเกิดเหตุระเบิด และไฟไหม้อาคารเตาปฏิกรณ์ ที่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ มาก่อนหน้านี้
เจ้าหน้าที่นครบาลอีกราย ระบุว่า สามารถวัดปริมาณรังสีในเมืองหลวงของญี่ปุ่นได้ 0.809 ไมโครซีเวิร์ต ระหว่างเวลาประมาณ 10.00-11.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งสำนักข่าวจีจีเพรสชี้ว่าเป็นตัวเลขที่สูงกว่าปริมาณในวันจันทร์ (14) ถึง 20 เท่า
สถานทูตหลายประเทศในกรุงโตเกียวแนะนำให้เจ้าหน้าที่ และพลเมืองของตัวเองออกจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ส่วนนักท่องเที่ยวต้องย่นเวลาวันหยุดพักผ่อน และบริษัทต่างชาติก็เร่งให้พนักงานออกจากพื้นที่ หรือวางแผนย้ายไปอยู่นอกเมืองก่อน
หนึ่งในสัญญาณบ่งบอกความแตกตื่นของประชาชนคือ ห้างสะดวกซื้อดอนกิโฆเต ซึ่งตามปกติเปิดบริการ 24 ชั่วโมงนั้นขายสินค้าประเภท วิทยุ ไฟฉาย เทียน เชื้อเพลิงกระป๋อง และถุงนอนหมดเกลี้ยง
นักข่าวจากนานาประเทศจำนวนหนึ่ง ที่ลงพื้นที่ประสบภัยพิบัติในเมืองเซนได ซึ่งถูกแผ่นดินไหว และคลื่นยักษ์ทำลายล้างจนราบคาบ ได้กลับออกมาแล้ว
ขณะที่สำนักจัดหางานไมเคิล เพจ อินเตอร์เนชันนัลของอังกฤษ ซึ่งมีสำนักงานในกรุงโตเกียว ปิดทำการเป็นเวลา 1 สัปดาห์ โดยพนักงานคนหนึ่งเผยว่าเขาจะเดินทางไปทำงานที่สำนักงานในสิงคโปร์
ด้านสำนักข่าวเกียวโดเสริมว่า ในจังหวัดไซตามะ ซึ่งอยู่ใกล้กับกรุงโตเกียวนั้นก็ยังตรวจพบระดับกัมมันตรังสีสูงกว่าปกติถึง 40 เท่า แต่ไม่ถึงขนาดเป็นอันตรายต่อคน ทว่า ทำให้เกิดความแตกตื่นในนครหลวงอันทันสมัยที่ผู้คนคับคั่งอย่างมาก
เจ้าหน้าที่กรมอุตุนิยมวิทยา เผยว่า กระแสลมที่พัดพาเอากัมมันตรังสีจากโรงไฟฟ้าฟูกูชิมะได้เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งผ่านกรุงโตเกียว แต่จะเปลี่ยนทิศไปทางตะวันตกในเวลาต่อมา
กรมอุตุฯ ระบุว่า ความเร็วลมจะเพิ่มขึ้นในวันพุธ (16) โดยจะเคลื่อนตัวไปทางใต้ด้วยความเร็ว 3-5 เมตรต่อวินาที ก่อนที่จะเปลี่ยนทิศไปทางตะวันออกไปสู่มหาสมุทรแปซิฟิกด้วยความเร็วมากขึ้นที่ 5-12 เมตรต่อวินาที ในวันเดียวกัน