เอเจนซี/เอเอฟพี - ทำเนียบขาว เผยเมื่อวันจันทร์ (7) สหรัฐฯ ไม่ปิดทางสำหรับใช้กำลังทหารภาคพื้นที่ดินเข้าหยุดยั้งเหตุนองเลือดในลิเบีย แต่รับแนวทางนี้ไม่ใช่ตัวเลือกลำดับต้นๆ หลังจากเวลานี้รัฐบาลของโอบามา ถูกครหาว่าพลาดโอกาสหลายต่อหลายครั้งในการขับไล่ มูอัมมาร์ กัดดาฟี ลงจากอำนาจ
นอกจากนี้แล้ว เจย์ คาร์นีย์ โฆษกทำเนียบขาว ยังบอกด้วยว่า การส่งอาวุธเข้าช่วยเหลือกลุ่มกบฏก็เป็นอีกหนึ่งในหลายทางเลือกเช่นกัน และสหรัฐฯพยายามประเมินทางเลือกต่างๆด้วยความรวดเร็ว ทว่าก็ยอมรับว่ายังเร็วเกินไปที่จะทำแบบนั้น
“ทางเลือกของการให้ความช่วยเหลือทางทหารยังอยู่บนโต๊ะเพราะจนถึงตอนนี้เรายังไม่ได้ถอนทางเลือกใดออกไป” คาร์นีย์ กล่าว
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของทำเนียบขาวมีขึ้นหลังจากเมื่อวันจันทร์ (7) มีหลายฝ่ายรบเร้าให้รัฐบาลสหรัฐฯใช้กำลังทางทหารตอบโต้ระบอบลิเบีย ตามหลังที่ประธานาธิบดี บารัค โอบามาถูกครหาอย่างหนักว่า ไม่รีบดำเนินการหยุดยั้งเหตุการณ์นองเลือดตั้งแต่เนิ่นๆ
“ผมทึกทักเอาว่าอาวุธจำนวนมากน่าจะกำลังถูกลำเลียงไปที่นั่น (มือของฝ่ายกบฏในลิเบีย)” จอห์น เคอร์รี ประธานคณะกรรมาธิการด้านวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาสหรัฐฯ กล่าวในรายการเฟซ เดอะ เนชั่น ของโทรทัศน์ซีบีเอส
ส่วน บิล ริชาร์ดสัน อดีตทูตใหญ่สหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ ก็ระบุว่า มันถึงเวลาแล้วที่จะแอบลักลอบส่งอาวุธเข้าไปเสริมกำลังให้แก่ฝ่ายกบฏ และรีบประกาศบังคับให้น่านฟ้าลิเบียเป็นเขตห้ามบินเพื่อป้องกันไม่ให้กัดดาฟีทำการโจมตีทางอากาศใส่พลเรือนได้อีก
ก่อนหน้านี้ ในวันอาทิตย์ (6) หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์รายงานว่า บรรดานักวางแผนด้านกลาโหมของสหรัฐฯ กำลังตระเตรียมทางเลือกต่างๆ สำหรับตอบโต้ลิเบีย ซึ่งครอบคลุมทั้งการโจมตีทางบก, เรือ และอากาศ ขณะที่ชาติพันธมิตรของวอชิงตันก็กำลังตัดสินใจที่จะแทรกแซงลิเบียเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม แนวคิดของสหรัฐฯและชาติพันธมิตรอาจถูกขัดขวางจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะรัสเซีย หนึ่งในสมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่เมื่อวันจันทร์ (7) ออกมาคัดค้านการเข้าแทรกแซงทางทหารในลิเบียทุกรูปแบบ
เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย กล่าวว่า “เราไม่เคยมองว่าการแทรกแซงจากต่างชาติ โดยเฉพาะการใช้กำลังทหารจะเป็นวิถีทางคลี่คลายวิกฤตในลิเบีย ชาวลิเบียควรแก้ปัญหาของพวกเขาด้วยตัวของพวกเขาเอง”
รายงานข่าวนี้มีออกมาขณะที่กองกำลังของกองกำลังผู้ภักดีต่อผู้นำ มูอัมมาร์ กัดดาฟี ของลิเบียเริ่มพลิกสถานการณ์มาเป็นฝ่ายได้เปรียบบ้างหลังบุกโจมตีเมืองหลายแห่งซึ่งยึดครองโดยพวกกบฏจนได้เมืองสำคัญอย่างบิน จาวัด และ ซีระเตะห์ กลับคืน พร้อมกับทำให้ฝ่ายกบฏต้องถอยร่นออกไปปักหลักแนวป้องกันใหม่ในดินแดนที่ลึกเข้าไปทางตะวันออก อย่างไรก็ตาม สงครามกลางเมืองคราวนี้ยังคงยืดเยื้อและไม่อาจคาดการณ์ฝ่ายชนะที่เด็ดขาดได้ในเร็ววัน