xs
xsm
sm
md
lg

ต่างชาติเชียร์เข้าซื้อหุ้นไทยชี้ชุมนุมไม่ดุ-การเมืองจะนิ่ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

การชุมนุมของคนเสื้อแดงไม่กระทบต่อตลาดหุ้นไทย จากมาตรการด้านความมั่นคงของรัฐบาล
เอเจนซี - นักลงทุนต่างประเทศมองการประท้วงของ “เสื้อแดง” ที่ไม่มีความรุนแรง คือจุดพลิกผันที่ทำให้เกิดความมั่นใจในเศรษฐกิจไทย และกำลังวิ่งเข้ามาช้อนซื้อหุ้นไทยซึ่งถือว่ามีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับชาติอื่นๆ ในเอเชีย พวกนักวิเคราะห์ของหลายสถาบันการเงินระดับอินเตอร์ฯระบุ ขณะเดียวกันพวกเขาก็เห็นดีเห็นงามกับแนวโน้มนี้และเชียร์ให้เข้าตลาดไทยเช่นกัน

ถึงแม้เกิดการประท้วงอันอึกทึกเอิกเกริกมา 1 สัปดาห์ โดยที่ข่าวคราวของกลุ่มผู้ชุมนุมได้กลายเป็นข่าวพาดหัว เมื่อพวกเขาสาดเลือดของพวกเขาเองใส่ด้านนอกของทำเนียบรัฐบาลและบ้านพักนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่พวกผู้จัดการพอร์ตลงทุนต่างชาติทั้งหลาย กลับกำลังวิ่งเข้ามาในประเทศไทย

พวกนักลงทุนต่างประเทศต่างรู้สึกโล่งใจที่ไม่ได้มีเหตุการณ์รุนแรง และเชื่อมั่นว่ารัฐบาลอายุ 15 เดือนของนายอภิสิทธิ์จะสามารถอยู่รอดต่อไป การหลั่งไหลกันเข้ามาของพวกเขากำลังทำให้ค่าเงินบาทขึ้นสู่ระดับแข็งค่าที่สุดในรอบ 22 เดือน ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ทะยานสู่จุดสูงสุดในรอบ 20 เดือน

ตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์เป็นต้นมา ต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นไทยเป็นเงิน 1,200 ล้านดอลลาร์ ซึ่งพอๆ กับปีที่แล้วตลอดทั้งปี เมื่อตอนที่หุ้นไทยเพิ่มขึ้นไป 63% และเงินบาทก็เป็นสกุลเงินตราที่แข็งค่าเป็นอันดับ 3 ในเอเชีย

การที่ไทยสามารถดึงดูดนักลงทุนจำนวนมากก็ไม่ใช่เหตุผลซับซ้อนอะไรเลย โดยเป็นเพราะว่าระดับราคาหลักทรัพย์ของไทย อยู่ในสภาพที่ถือว่าถูกคำนวณรับปัจจัยเรื่องความเสี่ยงทางการเมืองเอาไว้ค่อนข้างมากแล้ว แต่มูลค่าก็ยังอยู่ในระดับถูกที่สุดในเอเชีย ขณะที่อัตราเงินปันผลตอบแทนกลับอยู่ในกลุ่มที่สูงที่สุด

พวกนักลงทุนมองการประท้วงที่ดำเนินไปอย่างสงบว่าเป็นจุดพลิกผัน และเศรษฐกิจไทยก็กำลังฟื้นตัวดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

เฟรเดอริก นีมานน์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของแบงก์ เอชเอสบีซี ในฮ่องกง ให้ความเห็นว่า “การชุมนุมเดินขบวนที่ผ่านมาโดยทั่วไปอยู่ในลักษณะที่สันติ และนี่ถือเป็นเครื่องให้กำลังใจว่า ประเทศไทยจะค่อนข้างมีเสถียรภาพทางการเมืองกันต่อไปอีก ในระดับที่พอเพียงต่อการทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจอยู่ในอัตราเร่งตัวได้”

การวิเคราะห์เช่นนี้ย่อมเป็นดนตรีไพเราะเสนาะหูสำหรับพวกที่มองเห็นกันอยู่ว่า ราคาหุ้นไทยอยู่ในภาวะต่ำกว่าที่สมควรเป็นมานานแล้ว โดยที่ราคาหุ้นซื้อขายกันในระดับแค่ 11.9 เท่าของประมาณการกำไรในปี 2010 ซึ่งนับว่าถูกที่สุดเป็นอันดับสองในเอเชีย โดยแพงกว่าปากีสถานเท่านั้น

ขณะเดียวกัน หุ้นไทยกลับสามารถให้อัตราเงินปันผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่ 3.75% ดีกว่าที่หุ้นสหรัฐฯจะให้ได้ ณ 2.6% ยิ่งเป็นหลักทรัพย์ในจีนแล้วจะได้เพียง 1.3% เท่านั้น ทั้งนี้ตามข้อมูลของ ธอมสันรอยเตอร์

“ในฐานะเป็นนักลงทุนที่มองหามูลค่า ผมก็จะต้องเข้าไปซื้อในตลาดที่ถูกที่สุดในภูมิภาคเวลานี้ ซึ่งก็จะต้องเป็นญี่ปุ่นและไทย การเพิกเฉยกับกรอบโครงทางด้านการเมืองที่นั่น (ในไทย) เป็นเรื่องสมเหตุสมผลอย่างมาก เพราะได้มีการคิดคำนวณเข้าไปแล้ว” อาร์โนต ฟาน ริจน์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนในเอเชีย ของ โรเบโก ฮ่องกง กล่าว

ส่วน คริส วูด นักวิเคราะห์แห่งบริษัทหลักทรัพย์ ซีแอลเอสเอ ก็แสดงความเห็นในทำนองเดียวกันว่า “ถ้านักลงทุนต่างชาติเกิดความมั่นใจว่า ตอนนี้การเมืองไทยกลับมีเสถียรภาพ ก็มีศักยภาพที่จะเกิดการวิ่งไล่ซื้อกันอย่างมาก นำโดยพวกต่างชาติที่เข้าซื้อพวกหุ้นแบงก์ ในเศรษฐกิจที่จะต้องได้รับการขับดันโดยอุปสงค์ในประเทศที่อั้นมานาน”

หุ้นหมวดธนาคารของไทยไต่ขึ้นไปแล้ว 9.07% ในปีนี้ หลังจากราคาเพิ่มกว่าเท่าตัวในปีที่แล้ว

ตามข้อมูลของธอมสันรอยเตอร์ หุ้นหมวดนี้ซื้อขายกันในราคาเฉลี่ยแล้วเท่ากับ 15.2 เท่าของประมาณการกำไรของปี 2011 จัดว่าแพงกว่า 11.2 เท่าสำหรับบริษัทจดทะเบียนของไทยทั้งหมด แต่ก็ยังถูกกว่าแบงก์อินโดนีเซียซึ่งอยู่ที่ 16.6 เท่า

ในพอร์ตผลตอบแทนโดยเปรียบเทียบของเขาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วูดได้เพิ่ม 1% ให้แก่หุ้นไทย โดยไปหักลดออกจากหุ้นเวียดนาม เขามองว่าโอกาสที่จะทำกำไรจากหุ้นไทยยังมีอีกมาก ส่วนหนึ่งเนื่องจากนักลงทุนต่างชาติได้เทขายสุทธิหุ้นไทยไป 7,600 ล้านดอลลาร์นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2007 ขณะที่ตั้งแต่เดือนมีนาคมปีที่แล้วเป็นต้นมา พวกเขาซื้อคืนกลับมาเพียงแค่ 2,100 ล้านดอลลาร์เท่านั้น

ทางด้าน ฌอน ดาร์บี นักยุทธศาสตร์ภูมิภาคแห่ง โนมูระ อินเตอร์เนชั่นแนล ก็บอกว่า ชอบหุ้นแบงก์ไทย โดยเฉพาะ ไทยพาณิชย์ และกสิกรไทย ซึ่งทั้งคู่เพิ่งประกาศเพิ่มเงินปันผลเมื่อเร็วๆ นี้ เขาบอกว่ากังวลเรื่องการเมืองไทยเพียงในแง่ที่จะกระทบการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นตัวหนุนส่งให้เศรษฐกิจอยู่ราว 5%

การที่ประเทศไทยได้รับความสนใจกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง กำลังทำให้ถูกนำไปเปรียบเทียบกับอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดเศรษฐกิจเฟื่องฟูใหม่ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของนักลงทุนมานาน

ในปีนี้หุ้นในตลาดจาการ์ตาขึ้นไป 8% ดีกว่าหุ้นในกรุงเทพฯที่ขยับไปเพียง 3.5% กระนั้น มอร์แกนสแตนลีย์ วาณิชธนกิจยักษ์ของสหรัฐฯ กลับคิดว่าไทยสามารถที่จะชิงเอาความฮึกเหิมของอินโดนีเซียมาได้บางส่วน ดังนั้นในเดือนนี้จึงได้แนะนำลูกค้าให้ยกระดับเพิ่มซื้อ(overweight)หุ้นไทย และผ่อนระดับลดซื้อ (underweight) หุ้นอินโดนีเซีย ทั้งนี้ มอร์แกนสแตนลีย์ชี้ว่า เสน่ห์จากมูลค่าของหุ้นไทยนั้น สามารถดึงดูดใจจนบดบังเรื่องความเสี่ยงของประเทศไทยได้
กำลังโหลดความคิดเห็น