เอเอฟพี - ฮิลลารี คลินตัน กล่าวเมื่อวันจันทร์(14) สหรัฐฯ รู้สึก “พึงพอใจเป็นอย่างมาก” กับกรณีที่ทางการไทยสามารถยึดอาวุธจากเกาหลีเหนือได้ พร้อมชี้การตรวจจับดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงประโยชน์แท้จริงของมาตรการคว่ำบาตรของนานาชาติที่มีต่อเปียงยาง
“เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้เห็นปฏิบัติการอันแข็งแกร่งของทางการไทย” คลินตัน บอกกับผู้สื่อข่าว “มันแสดงให้เห็นว่ามาตรการคว่ำบาตรได้ผล มันแสดงให้เห็นว่ามาตรการคว่ำบาตรต่างๆ สามารถป้องกันการแพร่ขยายอาวุธได้”
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวต่อว่า “ดิฉันคิดว่าทุกคนคงไม่ประหลาดใจที่เกาหลีเหนือยังคงพยายามหลบหลักมาตรการคว่ำบาตรและส่งออกไปทั่วโลก เพราะว่ามันคือแหล่งเงินต่างประเทศที่สำคัญของพวกเขา”
“พวกเขายังจำเป็นต้องเดินหน้าขายสิ่งที่สามารถส่งออกไป แต่ก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้เห็นปฏิบัติการอันเข้มแข็งของทางการไทย” เธอกล่าว “และเรื่องนี้คงเป็นไปไม่ได้หากปราศจากปฏิบัติการอันแข็งแกร่งของสหประชาชาติ และดิฉันคิดว่านี่คือเครื่องเตือนสติสำหรับคนทั่วโลก ครั้นที่มันอาจมาจากอิหร่าน”
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน ศาลไทยได้ขยายเวลาควบคุมตัวลูกเรือ 5 คนของเครื่องบินที่ขนอาวุธออกจากเกาหลีเหนือออกไปอีก ตามหลังปฏิบัติการจับกุมกระบวนการขนอาวุธทางอากาศครั้งแรกภายใต้มาตรการคว่ำบาตรรอบล่าสุดของสหประชาชาติที่มีต่อเปียงยางเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
อาวุธสงครามน้ำหนักกว่า 30 ตัน ซึ่งประกอบด้วยขีปนาวุธและระเบิดอาร์พีจีจำนวนมาก ถูกตรวจพบหลังจากนักบินของเครื่องบินบรรทุกสินค้าชาวเบลารุส และลูกเรือชาวคาซัคสถานอีก 4 คน ลงจอดแวะเติมน้ำมัน ณ สนามบินดอนเมืองเมื่อวันศุกร์(11)
ทั้งหมดถูกตั้งข้อหามีอาวุธสงครามไว้ในครอบครองและเมื่อวันจันทร์(14) ศาลไทยได้ขยายเวลาควบคุมตัวพวกเขาอีกอย่างน้อย 12 วัน เพื่อที่ตำรวจจะสามารถสืบสวนเพิ่มเติม ส่วนทนายความจำเลยเปิดเผยว่าศาลปฏิเสธให้ประกันตัวลูกความ แต่เขายื่นคำร้องอีกครั้งในวันอังคาร(15) ด้วยความสนับสนุนจากสถานทูตคาซัตสถานประจำกรุงเทพฯ
พล.อ.ต.เมธา สังขวิจิตร เจ้ากรมสรรพาวุธทหารอากาศ กล่าวว่า หลังจากหารือกับเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงระดับสูงว่า จากการตรวจสอบในเบื้องต้นไม่พบว่ามีอาวุธร้ายแรงประเภทนิวเคลียร์ตามที่หลายฝ่ายกังวล ขณะที่นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ชี้แจงว่าไม่มีหลักฐานเชื่อมโยงว่าการลักลอบขนอาวุธครั้งนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้ายแต่อย่างใด
นักบินมิฮาอี เปตุคฮู วัย 54 ปี พร้อมลูกเรือ วิกตอร์ อับดุลลาเยฟ วัย 58 ปี วิตาลี ชูคอฟ วัย 54 ปี อเล็กซานเดอร์ ซรีบเนอร์ และอิลยาส อิสซาคอฟ วัย 53 ปี ให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่สืบสวนว่าพวกเขาไม่ทราบว่าตนเองกำลังลำเลียงสินค้าอะไรอยู่
ทั้งนี้ เครื่องบินลำนี้ได้จอดแวะที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และไทย ก่อนบินสู่เปียงยาง นายปณิธาน วัฒนายากร โฆษกรัฐบาลกล่าว พร้อมระบุต่อว่าหลังบินออกจากเกาหลีเหนือ เครื่องบินมีที่หมายถัดจากไทยคือศรีลังกา แต่ไม่ทราบจุดหมายปลายทางที่แน่ชัด
นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ระบุว่า อาวุธทั้งหมดมีต้นทางมาจากบริษัทแห่งหนึ่งของเกาหลีเหนือและลำเลียงโดยเครื่องบินรัสเซียที่จดทะเบียนในจอร์เจีย ทั้งนี้ ลูกเรือได้ร้องขออนุญาตลงจอดเติมน้ำมันในกรุงเทพฯและโกหกเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบว่าเครื่องบินบรรทุกอุปกรณ์ขุดเจาะน้ำมัน
“เราได้รับการแจ้งเตือนจากรายงานข่าวกรองว่าเครื่องบินลำนี้ต้องสงสัย และเมื่อเครื่องบินลงเติมน้ำมัน เราจึงได้เข้าตรวจค้นและพบอาวุธ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว ขณะที่สื่อมวลชนไทยรายงานว่าคำบอกเล่าดังกล่าวนั้นมาจากหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ
การจับกุมคราวนี้เกิดขึ้นหลังจากสตีเฟน บอสเวิร์ธ ผู้แทนพิเศษของสหรัฐฯ เพิ่งเดินทางกลับจากกรุงเปียงยาง โดยที่สามารถตกลงกับฝ่ายเกาหลีเหนือในเรื่องการเปิดการเจรจา 6 ฝ่ายเพื่อปลดอาวุธนิวเคลียร์ของโสมแดงขึ้นมาใหม่