เอเอฟพี - ผลตรวจดีเอ็นเอของนักวิจัยในสหรัฐฯ ระบุว่า กะโหลกที่คิดว่าเป็นของอดอล์ฟ อิตเลอร์ แท้จริงแล้วเป็นของผู้หญิงคนหนึ่ง ก่อให้เกิดความสงสัยเกี่ยวกับการตายของผู้นำนาซีคนนี้มากยิ่งขึ้น
ชิ้นส่วนกะโหลกศีรษะนั้นมีรูกระสุนปืน สนับสนุนทฤษฎี ที่ระบุว่า ฮิตเลอร์ยิงตัวเองตายและดื่มยาพิษในบังเกอร์ในเบอร์ลิน ขณะที่กองทัพโซเวียตกำลังรุกคืบเข้ามาในปี 1945 แต่ทั้งนักประวัติศาสตร์และนักวิจัยจำนวนมากยังตั้งข้อสงสัย กระทั่งบางคนคิดว่า ฮิตเลอร์หลบหนีไปได้เสียด้วยซ้ำ
ในปี 2000 มีการนำกระดูกชิ้นั้นมาจัดแสดงเป็นครั้งแรกที่หอจดหมายเหตุในกรุงมอสโก ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะจากสงครามที่ชาวรัสเซียต่างภาคภูมิใจยิ่ง โดยยืนยันว่า เป็นกะโหลกศีรษะของฮิตเลอร์จากหลักฐานทางทันตกรรมของเขา
แต่ล่าสุด ผลการศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญในสหรัฐฯ ออกมาลบล้างเรื่องราวนั้น โดยนักโบราณคดีและผู้เชี่ยวชาญเรื่องกระดูก นิค เบลแลนโทนี และศาสตราจารย์ ลินดา สเตราส์โบห์ ผู้อำนวยการศูนย์พันธุกรรมมหาวิทยาลัยคอนเนตติกัต ออกมาเปิดเผยว่า ผลการตรวจดีเอ็นเอ ยืนยันว่า แท้จริงแล้วกะโหลกชิ้นนั้นเป็นของผู้หญิงคนหนึ่งที่น่าจะอายุระหว่าง 20-40 ปี
การเปิดเผยคราวนี้ถูกถ่ายทำเป็นสารคดีที่ออกอากาศในช่องอิสทอรี่ชาแนลในตอนชื่อ “การหนีของฮิตเลอร์” ซึ่งเป็นการย้ำถึงทฤษฎีที่บอกว่าฮิตเลอร์อาจหลบหนีออกจากเบอร์ลินไปก่อนที่ทหารโซเวียตจะจับกุมเข้าได้ อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยระบุว่า ผลการศึกษาของพวกเขาไม่สามารถบอกถึงชะตากรรมของฮิตเลอร์ได้ เพียงแต่ยืนยันว่ากะโหลกศีรษะที่คิดว่าเป็นของฮิตเลอร์นั้นเป็นของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ไม่ทราบว่าเป็นใครมาจากไหน
ด้าน ศาสตราจารย์ คริสโตเฟอร์ บราวนิง แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา และนักประวัติศาสตร์ด้านโฮโลคอสต์ กล่าวว่า ผลการตรวจสอบกะโหลกชิ้นนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้อสรุปที่ระบุว่า ฮิตเลอร์ตายในบังเกอร์ โดยเขาชี้แจงว่า นักประวัติศาสตร์ไม่ได้พึ่งพาหลักฐานจากทหารโซเวียตมายืนยันเท่านั้น แต่ยังมีการศึกษาและตรวจสอบอื่นๆ ที่บ่งบอกว่า ฮิตเลอร์เสียชีวิตในบังเกอร์ รวมถึงยังใช้ผลการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของอังกฤษที่รวบรวมหลักฐานยืนยันเกี่ยวกับผู้พบศพของฮิตเลอร์ และ อีวา บราวน์ ภรรยาของฮิตเลอร์ด้วย