เอเอฟพี - มะห์มุด อะห์มาดิเนจัด สาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีอิหร่านเป็นสมัยที่ 2 แล้วในวันนี้(5) ท่ามกลางเหตุประท้วงคัดค้านอย่างรุนแรง และถูกบอยตอตจากพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งระบุว่า เขาโกงการเลือกตั้ง ลั่นจะต่อต้านการกดขี่จากตะวันตกต่อไป
ผู้นำหัวแข็งกร้าววัย 52 ปี กล่าวสาบานตนรับตำแหน่งต่อไปอีก 4 ที่รัฐสภาในกรุงเตหะราน หลังจากอำนาจประธานาธิบดีของเขาได้รับการรับรองจากอยาตอลเลาะห์ คาเมเนอี ผู้นำศาสนาสูงสุดของอิหร่าน เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้นำฝ่ายค้านคนสำคัยไม่ยอมมาร่วมพิธีสานบานตนของเขา ขณะที่ด้านนอกตำรวจปราบจลาจลและนักรบอาสาสมัครได้ใช้สเปรย์พริกไทยฉีดใส่สลายกลุ่มผู้ประท้วง ซึ่งอ้างว่า ชัยชนะอย่างถล่มทลายของเขาเกิดจากการคดโกง ขณะที่ร้านค้าใกล้เคียงต้องปิดร้าน
อะห์มาดิเนจัดปฏิญาณตนว่า จะต่อต้าน “อำนาจกดขี่” ซึ่งอาจหมายถึงอำนาจจากตะวันตก รวมทั้งระบุว่า การเลือกตั้งเมื่อเดือนมิถุนายนที่เขาได้รับชัยชนะนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงสำคัญในอิหร่าน
“เราจะต้านทานผู้กดขี่และพยายามจะแก้ไขกลไกลการเลือกปฏิบัติให้ถูกต้อง เพื่อสร้างประโยชน์ให่แก่ทุกชนชาติในโลก” อะห์มาดิเนจัดประกาศ
สมาชิกรัฐสภาอิหร่านประมาณ 240 คนมาเข้าร่วมพิธีในวันนี้ พร้อมกับบรรดานักการศาสนา แต่มีร์ ฮอสเซน มูซาวี ผู้นำฝ่ายค้านที่พ่ายแพ้การเลือกตั้งไม่ได้มาร่วมพิธี รวมทั้งอดีตประธานาธิบดีอัคบาร์ ฮาเชมี นักการศาสนาที่ทรงอิทธิพลด้วย
หลังจากพิธีสาบานตน อะห์มาดิเนจัดมีเวลาจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ภายใน 2 สัปดาห์ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะยังคงนโยบายแข็งกร้าวกับตะวันตก โดยเฉพาะโครงการพัฒนานิวเคลียร์ ซึ่งเป็นประเด็นที่สร้างความขัดแย้งอย่างยิ่งกับสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ชัยชนะของอะห์มาดิเนจัดในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ก่อให้เกิดวิกฤตการเมืองครั้งเลวร้ายที่สุดในอิหร่าน นับตั้งแต่การปฏิวัติอิสลามในปี 1979 โดยเกิดการประท้วงนองเลือดคนตาย 30 คน และเกิดคดีความทางการเมืองกว่าร้อยคดี ตลอดจนสร้างความแตกแยกในหมู่ชนชั้นปกครอง ทั้งยั้งทำให้อิหร่านถูกโดดเดี่ยวต่อไปอีกในเวทีโลกด้วย
โรเบิร์ต กิบส์ โฆษกทำเนียบขาวของสหรัฐฯแถลงยอมรับว่า อะห์มาดิเนจัด “ได้รับเลือก” ให้เป็นประธานาธิบดีของอิหร่าน แต่ไม่รับรองว่าเขาเป็น"ประธานาธิบดีที่ชอบธรรม" และกล่าวว่า สหรัฐฯไม่มีแผนที่จะแสดงความยินดีกับการเข้ารับตำแหน่งของอะห์มาดิเนจัดด้วย
ด้านนักวิเคราะห์ระบุว่า หากอิหร่านยังคงท่าทีแข็งกร้าวต่อไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดยืนเรื่องพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ ความสัมพันธ์กับตะวันตกก็ยิ่งจะตึงเครียดมากขึ้น รวมถึงอิสราเอลด้วย หลังอะห์มาดิเนจัด เคยกล่าวว่า อิสราเอลควรจะถูกลบออกจากแผนที่
