เอเจนซี - มาตรการปิดโรงเรียนอาจช่วยชะลอสถานการณ์เลวร้ายออกไป เพื่อให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขสามารถเตรียมตัวรับมือทัน แต่นั่นก็ไม่อาจป้องกันการแพร่กระจายของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ได้ นักวิจัยอังกฤษเปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (20)
นอกจากนี้ ผลวิจัยยังพบว่าในทางกลับกันมาตรการปิดโรงเรียนอาจกระทบต่อการบริการของโรงพยาบาลต่างๆ ก่อความวุ่นวายแก่ศูนย์สาธารณสุข และนอกจากนั้น จะกระทบต่อเศรษฐกิจด้วย นีล เฟอร์กูสัน แห่งสถาบันอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอนและพันธมิตรระบุ
ทีมวิจัยชี้ว่าการปิดโรงเรียนยังทำให้เจ้าหน้าที่ตามโรงพยาบาลขาดแคลนมากขึ้น เนื่องจากเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่เป็นสตรี และผลสำรวจความเห็นล่าสุดชี้ว่าร้อยละ 21 ของเจ้าหน้าที่ยอมรับว่าอาจต้องลางานเพื่อดูแลบุตรหลานที่บ้านหากโรงเรียนปิด
อย่างไรก็ตาม เนื้อหาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Lancet Infectious Diseases พวกเขากล่าวว่า รัฐบาลแต่ละชาติจำเป็นต้องมีแผนไว้สำหรับปิดโรงเรียน ทั้งเมื่อไหร่และอย่างไร หากว่าสถานการณ์การติดต่อของไวรัสเอช1เอ็น1 เลวร้ายลงไปกว่านี้
“ด้วยการระบาดของไวรัส เอช1เอ็น1 อาจรุนแรงกว่านี้ ดังนั้น วิธีเฝ้าระวังในปัจจุบันที่ยังไม่แนะนำให้ปิดโรงเรียนในยุโรปและอเมริกาเหนือ อาจจะมีการตรวจสอบใหม่ในฤดูใบไม้ร่วง” บทความของนักวิจัยที่ระบุในวารสาร
ณ ช่วงจุดสูงสุดของการแพร่ระบาดในสหรัฐฯ ได้มีคำสั่งปิดโรงเรียนมากกว่า 700 แห่ง จากข้อมูลของกระทรวงศึกษาธิการมะกัน ขณะที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อคาดหมายว่ามีอเมริกันชนมากกว่า 1 ล้านคนแล้วที่ติดเชื้อไวรัส เอช1เอ็น1 นี้
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลก ระบุว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ถือเป็นการแพร่ระบาดที่รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์วงการสาธารณสุขทั่วโลกพร้อมยอมรับเชื้อมรณะแพร่ระบาดรวดเร็วจนไม่มีประโยชน์ที่จะรายงานการติดเชื้อเป็นรายกรณีอีกต่อไป
การแพร่ระบาดลดลงหลังปิดโรงเรียน แต่อัตราผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นทันทีเมื่อเด็กๆกลับสู่ห้องเรียนอีกครั้ง บทความของอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน และพันธมิตร ระบุ
ทั้งนี้ ทีมวิจัยได้ศึกษารูปแบบการระบาดของไข้หวัดใหญ่ในปี 1918,1957, และ1968 รวมทั้งช่วงปิดภาคเรียนในฝรั่งเศสและช่วงที่ครูอิสราเอลผละงานประท้วงโดยพบว่าแม้การระบาดจะลดลงเมื่อโรงเรียนปิด แต่เมื่อโรงเรียนเปิดอีกครั้งผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทันที
