(จากเอเชียไทมส์ออนไลน์www.atimes.com)
No question, Hu’s in charge of Xinjiang
By Wu Zhong
09/07/2009
การที่ประธานาธิบดีหูจิ่นเทาต้องผละจากการประชุมสุดยอดของกลุ่มจี8ในประเทศอิตาลี และเดินทางกลับบ้านเพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลสถานการณ์ภายหลังเหตุจลาจลเรื่องเชื้อชาติอันนองเลือดที่ซินเจียงด้วยตนเองนั้น น่าจะสืบเนื่องจากมีช่องโหว่ในโครงสร้างการบังคับบัญชาทหารของปักกิ่ง สภาพการณ์ที่หูเป็นสมาชิกกรมการเมืองประจำเพียงคนเดียว ที่มีอำนาจในการสั่งเคลื่อนย้ายทหารของจีนได้ คือสิ่งที่จะต้องได้รับการแก้ไข
ฮ่องกง -ประธานาธิบดีหูจิ่นเทาของจีนตัดกำหนดการเดินทางเยือนยุโรปของเขา รวมทั้งยกเลิกการเข้าร่วมการประชุมกลุ่ม 8 ชาติอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก (จี8) แล้วรีบเดินทางกลับบ้านเมื่อวันพุธ(8) สืบเนื่องจากความรุนแรงที่เกิดขึ้นในซินเจียง(ซินเกียง) การตัดสินใจเช่นนี้ของเขานับเป็นการก้าวเดินชนิดที่เหล่าผู้นำจีนไม่เคยกระทำกันมาก่อนเลย
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ผู้นำจีนคนหนึ่งต้องยกเลิกการเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการ สืบเนื่องจากสถานการณ์อันสับสนวุ่นวายที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดหมายภายในประเทศ เรื่องนี้บ่งชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในซินเจียงนั้นมีความสาหัสร้ายแรงจนกระทั่งหูต้องเร่งกลับบ้านเพื่อเข้ารับมือเหตุการณ์ต่อจากนั้นด้วยตนเองทีเดียว
หูออกจากกรุงปักกิ่งเมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม เพื่อเยือนยุโรปในลักษณะที่เป็นการทำงานไปด้วย เย็นวันนั้นเองการจลาจลก็ปะทุขึ้นที่เมืองอูรุมชี เมืองหลวงของเขตปกครองตนเองอุยกูร์ซินเจียง ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน มีผู้ถูกฆ่าตายอย่างน้อย 156 คน และได้รับบาดเจ็บมากกว่า 816 คนในเหตุปะทะกันระหว่างคนต่างเชื้อชาติครั้งรุนแรงที่สุดในประเทศจีนในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา
ในการปราบปรามที่บังเกิดตามมานั้น ตำรวจได้ปิดการจราจรในหลายๆ ส่วนของเมืองและจับกุมผู้ก่อจลาจลไปมากกว่า 1,400 คน เช้าวันรุ่งขึ้น สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนได้รายงานคำแถลงของรัฐบาลฉบับหนึ่งที่กล่าวว่า “สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว”
เวลาเดียวกันนั้นเอง สื่อระดับชาติทั้งหลายของจีนก็พากันลดระดับความสำคัญของเหตุการณ์รุนแรงในอูรุมชี พวกข่าวนำในรายการข่าวภาคค่ำของโทรทัศน์ส่วนกลางของจีน คือข่าวกิจกรรมของบรรดาผู้นำพรรคและผู้นำรัฐ เหตุการณ์ซินเจียงถูกฝังเอาไว้ในช่วงกลางๆ ของรายการข่าวซึ่งมีเวลาออกอากาศรวม 30 นาที ขณะที่ไม่มีหนังสือพิมพ์ระดับชาติฉบับใดเลยที่เล่นข่าวความรุนแรงนองเลือดนี้เอาไว้ในหน้าหนึ่ง
ทว่าไม่นานต่อมา ก็เกิดการปะทะปะทุขึ้นมาใหม่ตามท้องถนนของเมืองอูรุมชี ในวันอังคาร(6) ชาวอุยกูร์กว่า 200 คนส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง จัดการประท้วงขึ้นต่อหน้าพวกผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เรียกร้องให้ปล่อยตัวสมาชิกในครอบครัวของพวกเธอที่ถูกจับกุมระหว่างความรุนแรงในวันอาทิตย์ ต่อมาในวันอังคารนั้นเอง ชาวฮั่นที่พำนักอาศัยในเมืองนี้จำนวนหลายพันคน ซึ่งต่างถือก้อนอิฐก้อนหิน, ท่อนไม้, และอาวุธทำเองอื่นๆ เท่าที่จะหาได้ ก็เริ่มการโจมตีเอาคืนกลุ่มชาวอุยกูร์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลามนิกายสุหนี่
เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนสาขาซินเจียง หวังเล่อฉวนซึ่งเป็น1 ใน 25 สมาชิกกรมการเมืองของพรรคอันทรงอำนาจอย่างยิ่งด้วย ได้ออกมาแถลงต่อสาธารณชนขอให้กลับคืนสู่ความสงบ ส่วน หลี่จื้อ เลขาธิการพรรคแห่งนครอูรุมชี ได้รับการแพร่ภาพทางทีวีขณะกำลังยืนอยู่บนรถบรรทุก กล่าวขอร้องพวกผู้ประท้วงชาวฮั่นให้สลายตัว เขาตะโกนก้องว่า “โปรดไว้วางใจรัฐบาล เราจะจัดการแก้ไขเหตุการณ์นี้ให้ดี”
รัฐบาลของซินเจียงนั้นได้ประกาศกำหนดเวลาห้ามออกนอกเคหะสถานในเมืองอูรุมชีเมื่อคืนวันอังคาร ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับท็อปด้านความมั่นคงของจีนก็บินด่วนไปรับหน้าที่บังคับบัญชาภารกิจรักษากฎหมาย
กองทหารแห่งกองทัพปลดแอกประชาชนจีน จากเขตทหารหลานโจวที่อยู่ใกล้เคียงกัน ยกกำลังกันทางอากาศมาถึงในวันอังคารเพื่อช่วยฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย การระดมทหารกองทัพปลดแอกเข้ามาเช่นนี้ บ่งชี้เรื่อง 2 เรื่อง
เรื่องแรก ปักกิ่งเริ่มที่จะตระหนักแล้วว่าสถานการณ์ในซินเจียงนั้นร้ายแรงและยุ่งยากยิ่งกว่าที่วินิจฉัยกันในตอนแรกมาก ถ้าการประจันหน้ากันระหว่างชาวเมืองอูรุมชีที่เป็นชาวฮั่นกับที่เป็นชาวอุยกูร์ขยายตัวออกไป ตำรวจพลเรือน และกองกำลังตำรวจติดอาวุธของประชาชน ที่มีอยู่ในเมืองจะไม่มีความเข้มแข็งเพียงพอรับมือกับสถานการณ์ได้
เรื่องที่สอง หูยังคงเป็นผู้รับผิดชอบแม้ในขณะที่เขาอยู่ในอิตาลีเพื่อเข้าร่วมการประชุมซัมมิตกลุ่มจี8 ตามประเพณีแล้ว เมื่อผู้นำจีนออกไปนอกประเทศ บุคคลผู้หมาะสมในการทำหน้าที่แทนก็จะได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ทำภารกิจต่างๆ ของประธานาธิบดี ในบางกรณี สภาพเช่นนี้คือการสร้างโอกาสให้ผู้ที่ได้รับการวางตัวเป็นทายาท ได้รับประสบการณ์ที่เป็นจริง
ตัวอย่างเช่น ตอนที่เครื่องบินขับไล่ไอพ่นของกองทัพเรือแห่งกองทัพปลดแอกฯ ปะทะกับเครื่องบินจารกรรมของสหรัฐฯเมื่อเดือนเมษายน 2001 ประธานาธิบดีเจียงเจ๋อหมินในเวลานี้กำลังจะออกเดินทางจากปักกิ่งไปเยือนอเมริกาใต้ หูจิ่นเทา ผู้ได้รับการวางตัวเป็นทายาทของเจียง ก็ได้รับมอบอำนาจให้รับมือกับเหตุการณ์คราวนั้น ตอนที่เจียงถูกผู้สื่อข่าวถามเรื่องเหตุการณ์นี้ขณะอยู่ในต่างประเทศนั้น เขาก็ตอบว่า “ผมไว้วางใจบรรดาเพื่อนร่วมงานของผมที่บ้านว่าจะสามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้อย่างดี”
เป็นที่เชื่อกันว่า ตอนที่หูออกจากปักกิ่งในคราวนี้ เขาได้มอบหมายให้ความไว้วางใจแก่รองประธานาธิบดีสีจิ้นผิง เป็นผู้กำกับดูแลกิจการต่างๆ ของรัฐ รองประธานาธิบดีสีดำรงตำแหน่งประธานกลุ่มทำงานเฉพาะกิจที่จัดตั้งขึ้นมาภายหลังเกิดการจลาจลในทิเบตเมื่อเดือนมีนาคมปี 2008 เพื่อมุ่งรักษาเสถียรภาพทางการเมืองและทางสังคมอยู่แล้ว ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ สีจึงควรเป็นผู้นำระดับสูงสุดที่เกี่ยวข้องกับการรับมือเหตุรุนแรงในซินเจียง มันจะเป็นโอกาสอันสำคัญที่จะได้หาทางจัดการกับสถานการณ์ที่ยุ่งยากซับซ้อน
ทว่าแม้สีจะมีตำแหน่งอยู่อันดับ 6 ในคณะกรรมการประจำของกรมการเมืองจำนวน 9 คน เขาก็ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ที่จะสั่งการทหารกองทัพปลดแอกฯได้
ในประเทศจีนนั้น ผู้บัญชาการระดับสูงสุดของกองทัพคือคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง ซึ่งหูนั่งเป็นประธานอยู่ ในระบบนี้ มีเพียงประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง และรองประธานที่ได้รับมอบอำนาจจากประธานเท่านั้น จึงสามารถสั่งการเคลื่อนย้ายกองทัพปลดแอกฯได้ ปรากฏว่ารองประธานคณะกรรมการการทหารทั้ง 2 คนในปัจจุบัน คือ พล.อ.กัวป๋อสง และ พล.อ.สีว์ไฉโฮ่ว ต่างก็ไม่ได้เป็นสมาชิกคณะกรรมการประจำของกรมการเมือง
ขณะที่สีมีตำแหน่งสูงกว่า แต่เขาก็ไม่มีอำนาจรับผิดชอบด้านการทหารเหนือกว่ากัวและสีว์ ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ หากหูใช้อำนาจสั่งการให้กัวหรือสีว์ดำเนินการเคลื่อนทหารเข้าไปในซินเจียง มันก็จะต้องเกิดความสับสนในการประสานงานกันเพื่อปราบปรามความไม่สงบอยู่นั่นเอง มีแต่หูต้องเดินทางกลับจึงจะสามารถแก้ปัญหาได้ (ในปี 2001 หูมีอำนาจรับผิดชอบเต็มที่ในการรับมือกับเหตุการณ์เครื่องบินจีน-สหรัฐฯปะทะกันกลางอากาศ ซึ่งพัวพันกับกองทัพปลดแอกฯด้วย เนื่องจากในตอนนั้นเขายังดำรงตำแหน่งรองประธานคนที่หนึ่งของคณะกรรมการการทหารส่วนกลางด้วย)
การจลาจลทางเชื้อชาติในอูรุมชี จึงเผยให้เห็นช่องโหว่ในโครงสร้างทางการเมืองและการทหารของจีน ยกเว้นแต่หูแล้ว ไม่มีสมาชิกในคณะกรรมการประจำของกรมการเมืองคนไหนอีกที่เป็นสมาชิกคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง ดังที่สถานการณ์บ่งชี้ให้เห็นแล้ว เมื่อถึงคราวที่จำเป็นต้องใช้ทหารกองทัพปลดแอกฯเข้ามารักษาความสงบเรียบร้อย ปัญหาจะต้องเกิดขึ้นทันทีหากหูไม่ได้อยู่ในจุดที่จะสั่งการเรื่องนี้ได้ เพื่อแก้ไขภาวะอิหลักอิเหลื่อเช่นนี้ นักวิเคราะห์บางรายจึงเชื่อว่าในเร็วๆ นี้จะมีการแต่งตั้งสมาชิกกรมการเมืองคนหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นสี ให้ดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง
หูต้องโยนแผนการเยือนยุโรปของเขาทิ้งไปเลย เพราะสถานการณ์ที่เคลื่อนไหวรวดเร็วมากในซินเจียงกำลังทำท่าจะขยายตัว คนชนชาติฮั่นทั้งที่อยู่ข้างในและข้างนอกซินเจียง กำลังเรียกร้องที่จะ “ใช้เลือดล้างเลือด” ครั้งนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ม้วนเดียวจบเหมือนคราวเครื่องบินจีน-สหรัฐฯปะทะกันกลางอากาศ และก็อาจจะระเบิดตูมตามใหญ่โตกว่านี้ได้ทีเดียว ถ้าหากเหล่าผู้มีอำนาจไม่มีการรับมืออย่างถูกต้องเหมาะสม
มีข่าวลือว่าชาวฮั่นบางส่วนในปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้กำลังวางแผนจัดการเดินขบวนประท้วง คนงานอพยพชาวอุยกูร์ (รวมทั้งพวกที่ทำงานในโรงงานของเล่นที่เมืองเสากวน มณฑลกว่างตง(กวางตุ้ง) ที่เกิดการประท้วงเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน จนนำไปสู่ความรุนแรงในวันอาทิตย์) ก็ว่ากันว่ากำลังหวาดผวาว่าพวกตนไม่มีความปลอดภัย
ถ้าหากหูยังคงเดินหน้าตามกำหนดการทัวร์ต่างแดนของเขาต่อไป ก็ยากที่จะจินตนาการได้ว่าเขาจะตกเป็นเป้ากล่าวหาของสาธารณชนว่าทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนหรือไม่ ถึงแม้สถานการณ์ดูจะกำลังสงบลงมาแล้วในอูรุมชี มันก็ยังคงเป็นงานยากลำบากที่จะลดผลกระทบของความขัดแย้งคราวนี้ให้มีน้อยที่สุด
หากไม่สามารถควบคุมให้สำเร็จตั้งแต่ตอนนี้ การประท้วงก็จะแพร่ขยายไปได้อย่างรวดเร็ว ในฐานะที่เป็นผู้นำสูงสุดของจีน หูจึงต้องกระทำหน้าที่ของเขา และเขาก็จำเป็นต้องอยู่ในจุดที่ถูกต้องเหมาะสมเพื่อทำหน้าที่นี้
อู่จง เป็นบรรณาธิการข่าวจีน ของเอเชียไทมส์ออนไลน์
No question, Hu’s in charge of Xinjiang
By Wu Zhong
09/07/2009
การที่ประธานาธิบดีหูจิ่นเทาต้องผละจากการประชุมสุดยอดของกลุ่มจี8ในประเทศอิตาลี และเดินทางกลับบ้านเพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลสถานการณ์ภายหลังเหตุจลาจลเรื่องเชื้อชาติอันนองเลือดที่ซินเจียงด้วยตนเองนั้น น่าจะสืบเนื่องจากมีช่องโหว่ในโครงสร้างการบังคับบัญชาทหารของปักกิ่ง สภาพการณ์ที่หูเป็นสมาชิกกรมการเมืองประจำเพียงคนเดียว ที่มีอำนาจในการสั่งเคลื่อนย้ายทหารของจีนได้ คือสิ่งที่จะต้องได้รับการแก้ไข
ฮ่องกง -ประธานาธิบดีหูจิ่นเทาของจีนตัดกำหนดการเดินทางเยือนยุโรปของเขา รวมทั้งยกเลิกการเข้าร่วมการประชุมกลุ่ม 8 ชาติอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก (จี8) แล้วรีบเดินทางกลับบ้านเมื่อวันพุธ(8) สืบเนื่องจากความรุนแรงที่เกิดขึ้นในซินเจียง(ซินเกียง) การตัดสินใจเช่นนี้ของเขานับเป็นการก้าวเดินชนิดที่เหล่าผู้นำจีนไม่เคยกระทำกันมาก่อนเลย
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ผู้นำจีนคนหนึ่งต้องยกเลิกการเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการ สืบเนื่องจากสถานการณ์อันสับสนวุ่นวายที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดหมายภายในประเทศ เรื่องนี้บ่งชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในซินเจียงนั้นมีความสาหัสร้ายแรงจนกระทั่งหูต้องเร่งกลับบ้านเพื่อเข้ารับมือเหตุการณ์ต่อจากนั้นด้วยตนเองทีเดียว
หูออกจากกรุงปักกิ่งเมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม เพื่อเยือนยุโรปในลักษณะที่เป็นการทำงานไปด้วย เย็นวันนั้นเองการจลาจลก็ปะทุขึ้นที่เมืองอูรุมชี เมืองหลวงของเขตปกครองตนเองอุยกูร์ซินเจียง ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน มีผู้ถูกฆ่าตายอย่างน้อย 156 คน และได้รับบาดเจ็บมากกว่า 816 คนในเหตุปะทะกันระหว่างคนต่างเชื้อชาติครั้งรุนแรงที่สุดในประเทศจีนในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา
ในการปราบปรามที่บังเกิดตามมานั้น ตำรวจได้ปิดการจราจรในหลายๆ ส่วนของเมืองและจับกุมผู้ก่อจลาจลไปมากกว่า 1,400 คน เช้าวันรุ่งขึ้น สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนได้รายงานคำแถลงของรัฐบาลฉบับหนึ่งที่กล่าวว่า “สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว”
เวลาเดียวกันนั้นเอง สื่อระดับชาติทั้งหลายของจีนก็พากันลดระดับความสำคัญของเหตุการณ์รุนแรงในอูรุมชี พวกข่าวนำในรายการข่าวภาคค่ำของโทรทัศน์ส่วนกลางของจีน คือข่าวกิจกรรมของบรรดาผู้นำพรรคและผู้นำรัฐ เหตุการณ์ซินเจียงถูกฝังเอาไว้ในช่วงกลางๆ ของรายการข่าวซึ่งมีเวลาออกอากาศรวม 30 นาที ขณะที่ไม่มีหนังสือพิมพ์ระดับชาติฉบับใดเลยที่เล่นข่าวความรุนแรงนองเลือดนี้เอาไว้ในหน้าหนึ่ง
ทว่าไม่นานต่อมา ก็เกิดการปะทะปะทุขึ้นมาใหม่ตามท้องถนนของเมืองอูรุมชี ในวันอังคาร(6) ชาวอุยกูร์กว่า 200 คนส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง จัดการประท้วงขึ้นต่อหน้าพวกผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เรียกร้องให้ปล่อยตัวสมาชิกในครอบครัวของพวกเธอที่ถูกจับกุมระหว่างความรุนแรงในวันอาทิตย์ ต่อมาในวันอังคารนั้นเอง ชาวฮั่นที่พำนักอาศัยในเมืองนี้จำนวนหลายพันคน ซึ่งต่างถือก้อนอิฐก้อนหิน, ท่อนไม้, และอาวุธทำเองอื่นๆ เท่าที่จะหาได้ ก็เริ่มการโจมตีเอาคืนกลุ่มชาวอุยกูร์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลามนิกายสุหนี่
เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนสาขาซินเจียง หวังเล่อฉวนซึ่งเป็น1 ใน 25 สมาชิกกรมการเมืองของพรรคอันทรงอำนาจอย่างยิ่งด้วย ได้ออกมาแถลงต่อสาธารณชนขอให้กลับคืนสู่ความสงบ ส่วน หลี่จื้อ เลขาธิการพรรคแห่งนครอูรุมชี ได้รับการแพร่ภาพทางทีวีขณะกำลังยืนอยู่บนรถบรรทุก กล่าวขอร้องพวกผู้ประท้วงชาวฮั่นให้สลายตัว เขาตะโกนก้องว่า “โปรดไว้วางใจรัฐบาล เราจะจัดการแก้ไขเหตุการณ์นี้ให้ดี”
รัฐบาลของซินเจียงนั้นได้ประกาศกำหนดเวลาห้ามออกนอกเคหะสถานในเมืองอูรุมชีเมื่อคืนวันอังคาร ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับท็อปด้านความมั่นคงของจีนก็บินด่วนไปรับหน้าที่บังคับบัญชาภารกิจรักษากฎหมาย
กองทหารแห่งกองทัพปลดแอกประชาชนจีน จากเขตทหารหลานโจวที่อยู่ใกล้เคียงกัน ยกกำลังกันทางอากาศมาถึงในวันอังคารเพื่อช่วยฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย การระดมทหารกองทัพปลดแอกเข้ามาเช่นนี้ บ่งชี้เรื่อง 2 เรื่อง
เรื่องแรก ปักกิ่งเริ่มที่จะตระหนักแล้วว่าสถานการณ์ในซินเจียงนั้นร้ายแรงและยุ่งยากยิ่งกว่าที่วินิจฉัยกันในตอนแรกมาก ถ้าการประจันหน้ากันระหว่างชาวเมืองอูรุมชีที่เป็นชาวฮั่นกับที่เป็นชาวอุยกูร์ขยายตัวออกไป ตำรวจพลเรือน และกองกำลังตำรวจติดอาวุธของประชาชน ที่มีอยู่ในเมืองจะไม่มีความเข้มแข็งเพียงพอรับมือกับสถานการณ์ได้
เรื่องที่สอง หูยังคงเป็นผู้รับผิดชอบแม้ในขณะที่เขาอยู่ในอิตาลีเพื่อเข้าร่วมการประชุมซัมมิตกลุ่มจี8 ตามประเพณีแล้ว เมื่อผู้นำจีนออกไปนอกประเทศ บุคคลผู้หมาะสมในการทำหน้าที่แทนก็จะได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ทำภารกิจต่างๆ ของประธานาธิบดี ในบางกรณี สภาพเช่นนี้คือการสร้างโอกาสให้ผู้ที่ได้รับการวางตัวเป็นทายาท ได้รับประสบการณ์ที่เป็นจริง
ตัวอย่างเช่น ตอนที่เครื่องบินขับไล่ไอพ่นของกองทัพเรือแห่งกองทัพปลดแอกฯ ปะทะกับเครื่องบินจารกรรมของสหรัฐฯเมื่อเดือนเมษายน 2001 ประธานาธิบดีเจียงเจ๋อหมินในเวลานี้กำลังจะออกเดินทางจากปักกิ่งไปเยือนอเมริกาใต้ หูจิ่นเทา ผู้ได้รับการวางตัวเป็นทายาทของเจียง ก็ได้รับมอบอำนาจให้รับมือกับเหตุการณ์คราวนั้น ตอนที่เจียงถูกผู้สื่อข่าวถามเรื่องเหตุการณ์นี้ขณะอยู่ในต่างประเทศนั้น เขาก็ตอบว่า “ผมไว้วางใจบรรดาเพื่อนร่วมงานของผมที่บ้านว่าจะสามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้อย่างดี”
เป็นที่เชื่อกันว่า ตอนที่หูออกจากปักกิ่งในคราวนี้ เขาได้มอบหมายให้ความไว้วางใจแก่รองประธานาธิบดีสีจิ้นผิง เป็นผู้กำกับดูแลกิจการต่างๆ ของรัฐ รองประธานาธิบดีสีดำรงตำแหน่งประธานกลุ่มทำงานเฉพาะกิจที่จัดตั้งขึ้นมาภายหลังเกิดการจลาจลในทิเบตเมื่อเดือนมีนาคมปี 2008 เพื่อมุ่งรักษาเสถียรภาพทางการเมืองและทางสังคมอยู่แล้ว ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ สีจึงควรเป็นผู้นำระดับสูงสุดที่เกี่ยวข้องกับการรับมือเหตุรุนแรงในซินเจียง มันจะเป็นโอกาสอันสำคัญที่จะได้หาทางจัดการกับสถานการณ์ที่ยุ่งยากซับซ้อน
ทว่าแม้สีจะมีตำแหน่งอยู่อันดับ 6 ในคณะกรรมการประจำของกรมการเมืองจำนวน 9 คน เขาก็ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ที่จะสั่งการทหารกองทัพปลดแอกฯได้
ในประเทศจีนนั้น ผู้บัญชาการระดับสูงสุดของกองทัพคือคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง ซึ่งหูนั่งเป็นประธานอยู่ ในระบบนี้ มีเพียงประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง และรองประธานที่ได้รับมอบอำนาจจากประธานเท่านั้น จึงสามารถสั่งการเคลื่อนย้ายกองทัพปลดแอกฯได้ ปรากฏว่ารองประธานคณะกรรมการการทหารทั้ง 2 คนในปัจจุบัน คือ พล.อ.กัวป๋อสง และ พล.อ.สีว์ไฉโฮ่ว ต่างก็ไม่ได้เป็นสมาชิกคณะกรรมการประจำของกรมการเมือง
ขณะที่สีมีตำแหน่งสูงกว่า แต่เขาก็ไม่มีอำนาจรับผิดชอบด้านการทหารเหนือกว่ากัวและสีว์ ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ หากหูใช้อำนาจสั่งการให้กัวหรือสีว์ดำเนินการเคลื่อนทหารเข้าไปในซินเจียง มันก็จะต้องเกิดความสับสนในการประสานงานกันเพื่อปราบปรามความไม่สงบอยู่นั่นเอง มีแต่หูต้องเดินทางกลับจึงจะสามารถแก้ปัญหาได้ (ในปี 2001 หูมีอำนาจรับผิดชอบเต็มที่ในการรับมือกับเหตุการณ์เครื่องบินจีน-สหรัฐฯปะทะกันกลางอากาศ ซึ่งพัวพันกับกองทัพปลดแอกฯด้วย เนื่องจากในตอนนั้นเขายังดำรงตำแหน่งรองประธานคนที่หนึ่งของคณะกรรมการการทหารส่วนกลางด้วย)
การจลาจลทางเชื้อชาติในอูรุมชี จึงเผยให้เห็นช่องโหว่ในโครงสร้างทางการเมืองและการทหารของจีน ยกเว้นแต่หูแล้ว ไม่มีสมาชิกในคณะกรรมการประจำของกรมการเมืองคนไหนอีกที่เป็นสมาชิกคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง ดังที่สถานการณ์บ่งชี้ให้เห็นแล้ว เมื่อถึงคราวที่จำเป็นต้องใช้ทหารกองทัพปลดแอกฯเข้ามารักษาความสงบเรียบร้อย ปัญหาจะต้องเกิดขึ้นทันทีหากหูไม่ได้อยู่ในจุดที่จะสั่งการเรื่องนี้ได้ เพื่อแก้ไขภาวะอิหลักอิเหลื่อเช่นนี้ นักวิเคราะห์บางรายจึงเชื่อว่าในเร็วๆ นี้จะมีการแต่งตั้งสมาชิกกรมการเมืองคนหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นสี ให้ดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง
หูต้องโยนแผนการเยือนยุโรปของเขาทิ้งไปเลย เพราะสถานการณ์ที่เคลื่อนไหวรวดเร็วมากในซินเจียงกำลังทำท่าจะขยายตัว คนชนชาติฮั่นทั้งที่อยู่ข้างในและข้างนอกซินเจียง กำลังเรียกร้องที่จะ “ใช้เลือดล้างเลือด” ครั้งนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ม้วนเดียวจบเหมือนคราวเครื่องบินจีน-สหรัฐฯปะทะกันกลางอากาศ และก็อาจจะระเบิดตูมตามใหญ่โตกว่านี้ได้ทีเดียว ถ้าหากเหล่าผู้มีอำนาจไม่มีการรับมืออย่างถูกต้องเหมาะสม
มีข่าวลือว่าชาวฮั่นบางส่วนในปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้กำลังวางแผนจัดการเดินขบวนประท้วง คนงานอพยพชาวอุยกูร์ (รวมทั้งพวกที่ทำงานในโรงงานของเล่นที่เมืองเสากวน มณฑลกว่างตง(กวางตุ้ง) ที่เกิดการประท้วงเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน จนนำไปสู่ความรุนแรงในวันอาทิตย์) ก็ว่ากันว่ากำลังหวาดผวาว่าพวกตนไม่มีความปลอดภัย
ถ้าหากหูยังคงเดินหน้าตามกำหนดการทัวร์ต่างแดนของเขาต่อไป ก็ยากที่จะจินตนาการได้ว่าเขาจะตกเป็นเป้ากล่าวหาของสาธารณชนว่าทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนหรือไม่ ถึงแม้สถานการณ์ดูจะกำลังสงบลงมาแล้วในอูรุมชี มันก็ยังคงเป็นงานยากลำบากที่จะลดผลกระทบของความขัดแย้งคราวนี้ให้มีน้อยที่สุด
หากไม่สามารถควบคุมให้สำเร็จตั้งแต่ตอนนี้ การประท้วงก็จะแพร่ขยายไปได้อย่างรวดเร็ว ในฐานะที่เป็นผู้นำสูงสุดของจีน หูจึงต้องกระทำหน้าที่ของเขา และเขาก็จำเป็นต้องอยู่ในจุดที่ถูกต้องเหมาะสมเพื่อทำหน้าที่นี้
อู่จง เป็นบรรณาธิการข่าวจีน ของเอเชียไทมส์ออนไลน์