เอเจนซี - ราคาน้ำมันร่วงลงกว่า 3 เปอร์เซ็นต์เมื่อวันพุธ(3) จากข้อมูลสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯเพิ่มขึ้นเกินคาดและดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ขณะที่วอลล์สตรีทปิดลบเล็กน้อย เหตุนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังตลาดขยับขึ้นต่อเนื่องมาหลายวัน
น้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนกรกฎาคม ลดลง 2.43 ดอลลาร์ ปิดที่ 66.12 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากร่วงลงต่ำสุดระหว่างซื้อขายถึง 64.95 ดอลลาร์ ด้านเบรนต์ลอนดอน ลดลง 2.29 ดอลลาร์ ปิดที่ 65.88 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันทรุดลงตามหลังรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (อีไอเอ) ที่ระบุว่าคลังน้ำมันดิบสำรองของชาติผู้บริโภครายใหญ่ที่สุดในโลก เพิ่มขึ้นถึง 2.9 ล้านบาร์เรลเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดหมายไว้ ขณะเดียวกัน ระหว่างสัปดาห์สต๊อกเบนซินยังเพิ่มขึ้นถึง 15 ล้านบาร์เรล สูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปีก่อนเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นจากจุดต่ำสุดในปี 2009 เมื่อเทียบเงินสกุลยูโร หลังจากแหล่งการเงินในเอเชียบอกว่าพวกเขาจะยังคงเข้าซื้อดอลลาร์แม้ว่าสหรัฐฯ อาจถูกหั่นเครดิตลงก็ตาม
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อวันพุธ(3) ปิดในแดนลบเล็กน้อย จากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังตลาดขยับขึ้นต่อเนื่องใน 4 วันหลังสุด และข้อมูลใหม่ย้ำให้เห็นถึงความอ่อนแอของตลาดแรงงานในภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ลดลง 65.63 จุด (0.75 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 8,675.24 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 12.98 จุด (1.37 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 931.76 จุด แนสแดก ลดลง 10.88 จุด (0.59 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,825.92 จุด
ผลสำรวจของเอดีพี ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้บริการด้านข้อมูลจ้างงานของสหรัฐฯ เปิดเผยว่าบริษัทเอกชนของสหรัฐปรับลดตำแหน่งงานลง 532,000 ตำแหน่งในเดือนพฤษภาคม
แม้การปรับลดตำแหน่งงานในภาคเอกชนจะลดลงจาก 545,000 ตำแหน่งในเดือนเมษายน แต่ก็มากกว่า 525,000 ตำแหน่งที่นักวิเคราะห์คาดหมายไว้ก่อนหน้านี้