เอเจนซี - ราคาน้ำมันทะยานผ่าน 65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อวันพฤหัสบดี (28) ทำสถิติสูงสุดในรอบ 6 เดือนอีกครั้ง หลังโอเปกยันจะไม่เปลี่ยนแปลงกำลังผลิตและสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ลดลงอย่างมาก ด้านวอลล์สตรีทขยับขึ้นราว 100 จุดตามแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน
น้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้น 1.63 ดอลลาร์ ปิดที่ 65.08 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน หลังจากช่วงหนึ่งของการซื้อขายพุ่งไปถึง 65.44 ดอลลาร์ ขณะที่เบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 1.89 ดอลลาร์ ปิดที่ 64.39 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
กระทรวงพลังงานของสหรัฐฯเปิดเผยว่าคลังน้ำมับสำรองลดลง 5.4 ล้านบาร์เรล ในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 22 พฤษภาคม ผิดคาดจากที่นักวิเคราะห์คาดหมายไว้ว่าจะลดลงเพียง 700,000 บาร์เรลอย่างมาก
นักวิเคราะห์กล่าวว่า แม้ข้อมูลชี้ให้เห็นว่าอุปสงค์น้ำมันเบนซินยังคงน้อยกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้านี้ ทว่าอุปสงค์กลับเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงในช่วง 7 วันก่อนถึงวันหยุดยาว 23-25 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งตามธรรมเนียมถือเป็นวันเริ่มต้นของฤดูกาลเดินทางท่องเที่ยวช่วงฤดูร้อน
รัฐมนตรีน้ำมันของโอเปกประชุมกันที่กรุงเวียนนาและมีมติเมื่อวันพฤหัสบดี(28) ไม่เปลี่ยนแปลงกำลังผลิต โดยพวกเขาคาดว่าเศรษฐกิจกำลังแข็งแกร่งขึ้นและสัญญาณอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะเป็นตัวสนับสนุนราคาเอง
มีรัฐมนตรีบางส่วนแสดงความกังวลว่าคลังน้ำมันดิบสำรองทั่วโลกที่อยู่ในระดับสูงอาจกระทบต่อราคาน้ำมัน แต่อาลี อัล นูไอมี รัฐมนตรีน้ำมันซาอุดีอาระเบีย กล่าวว่าด้วยอุปสงค์ที่กำลังเพิ่มขึ้นจะช่วยระบายอุปทานที่ล้นตลาดในเวลานี้
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดี (28) ขยับขึ้นมาปิดในแดนบวกได้สำเร็จหลังได้แรงสนับสนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากนักลงทุนคิดหนักต่อข้อมูลทางเศรษฐกิจที่มีออกมาทั้งดีและร้าย รวมถึงรายละเอียดของแผนเข้าสู่กระบวนการล้มละลายของเจเนรัลด์ มอเตอร์ส
ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 103.78 จุด (1.25 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 8,403.80 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 13.77 จุด (1.54 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 906.83 จุด แนสแดก เพิ่มขึ้น 20.71 จุด (1.20 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,751.79 จุด
วอลล์สตรีทขยับขึ้นด้วยแรงซื้อในหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังรัฐบาลรายงานสต๊อกน้ำมันดิบลดลงกว่าที่คาดหมายไว้อย่างมาก จุดประกายความหวังต่อการฟื้นตัวของอุปสงค์ที่ส่งให้ราคาน้ำมันขยับขึ้นรุนแรง โดยปัจจัยนี้มีน้ำหนักเหนือกว่าข่าวเจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) ทำท่าเข้าใกล้ภาวะล้มละลาย เมื่อบรรดาผู้ถือหุ้นกู้ปฏิเสธข้อเสนอแปลงสภาพตราสารหนี้เป็นหุ้นของบริษัท
การแปลงสภาพดังกล่าวถือเป็นความหวังสุดท้ายของจีเอ็มที่จะลดหนี้ลงโดยไม่ต้องใช้หนทางการเข้าสู่ภาวะล้มละลาย คณะกรรมการบริหารของบริษัทน่าจะประชุมกันในสัปดาห์นี้ เพื่อพิจารณาทางเลือกอื่นๆ ที่เริ่มตีบตันลงทุกที
ทั้งนี้ หากว่าจีเอ็มต้องยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอเข้าสู่ภาวะล้มละลายแล้ว ก็จะเป็นกรณีล้มละลายครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว
