xs
xsm
sm
md
lg

มนต์เสน่ห์หนุ่มผิวขาวจืดจางที่เมืองจีน

เผยแพร่:   โดย: เคนต์ เอฟวิง

(จากเอเชียไทมส์ออนไลน์www.atimes.com)

In China, White Man Loses Mojo
By Kent Ewing
17/04/2009

การสำรวจโดยบริษัทผู้ให้บริการหาคู่แสดงให้เห็นว่า นับจากช่วงวิกฤตการเงินโลกเป็นต้นมา สาวจีนเริ่มมองหนุ่มตะวันตกด้วยสายตาอย่างใหม่ที่ลดความใฝ่ปองลงมาก ในฮ่องกงความต้องการที่จะคบหาดูใจกับหนุ่มตะวันตกนับว่าเป็นเรื่องหายาก ในยามที่รายได้ของสาวๆ ชาวเมืองนี้มีแต่จะสูงขึ้น แต่นั่นไม่ใช่อานิสงส์ที่จะไปหล่นบนหัวใจของหนุ่มซินตึ๊งแห่งจีนแผ่นดินใหญ่ เพราะในท่ามกลางความนิยมของคุณพ่อคุณแม่ที่เจาะจงจะต้องมีลูกชายให้ได้นั้น ปริมาณชายชาวจีนผู้ใฝ่หารักจึงอสมดุลเอามากๆ กับซัปพลายด้านจำนวนหญิงสาว ในการนี้จะมีสมาคมผู้ชายไร้คู่หัวใจว้าเหว่เกิดขึ้นมหาศาลราว 32 ล้านรายทีเดียว

ราวกับว่าพวกนายธนาคารและนักการเงินชาติตะวันตกที่เคยมีฐานะเฟื่องฟูหรูหราน่าหลงใหล จะได้รับความทุกข์ขมตรมใจจากวิกฤตการเงินซ้ำๆ ยังไม่สาหัสพอ ในวันนี้พวกเขาต้องเผชิญกับเรื่องเสียฟอร์มฉกาจฉกรรจ์เพิ่มอีกหนึ่งเรื่องใหญ่ เมื่อผลการสำรวจในฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่พบว่า สาวจีนลดความสนใจใฝ่ปองในกลุ่มชนคนเคยเริ่ดล้ำกลุ่มนี้ลงอย่างฮวบฮาบ

ผลการสำรวจความคิดเห็นสตรีต่อเรื่องชายในฝัน ที่ดำเนินการระดับประเทศ 2 รายการโดยเว็บไซต์ฮองเนียงดอตคอม ขาใหญ่ธุรกิจบริการหาคู่รักคู่ขวัญ ซึ่งเพิ่งประกาศกันไปเร็วๆ นี้ชี้ว่าสาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่ปรารถนาจะหาคู่ชีวิตเป็นคนต่างชาตินั้น ลดฮวบลงจากระดับ 42% เหลือแค่ 16% ในรอบปีที่ผ่านมา

ถ้าจะหาสาเหตุของปรากฏการณ์นี้ คงต้องโทษไปที่วิกฤตการเงินซึ่งทำให้สังคมตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเทพบุตรผิวเผือดทั้งหลายสูญเสียคุณลักษณ์แห่งเสถียรภาพอันเป็นเรื่องสำคัญในสายตาของสาวจีนผิวเหลืองผ่องละออ ผู้ซึ่งมักที่จะเลือกอนาคตให้แก่ชีวิตรักโดยผูกพันแนบแน่นกับแนวโน้มทางการเงินเสมอ

มนต์ขลังของหนุ่มผิวขาวในตลาดความรักย่านฮ่องกงนั้น อันที่จริงแล้ว เห็นได้ชัดว่าถดถอยลงมาอย่างต่อเนื่อง นับจากที่อังกฤษส่งมอบฮ่องกงคืนแก่จีนเมื่อปี 1997 โดยมีรายงานของบรรดาบริษัทรับจัดหาคู่ทยอยออกมาเสมอว่า เป็นเรื่องที่ค่อนข้างหายากที่สตรีชาวจีนในเมืองใหญ่แห่งนี้จะมองหาคู่ที่เป็นชายตะวันตก ต่างจากเมื่อยุคที่อังกฤษยังปกครองฮ่องกง และยังปักหลักครอบครองอยู่ในบ้านใหญ่หลังงามแถบวิคทอเรีย พีค ตลอดจนย่านหรูหราราคาแพงแหล่งอื่นๆ ของฮ่องกง ในยุคนั้นความนิยมถูกเทไปกับการเดตหนุ่มตะวันตกกันมาก โดยเฉพาะพวกผู้บ่าวชาวอังกฤษ

ยุคสมัยได้ผันผ่านไปแล้ว ขณะที่คนจีนก็หมดสิ้นความรู้สึกต่ำต้อยในชาติพันธุ์ของพวกตนแล้วเช่นกัน ในทางเศรษฐกิจ เราได้ประจักษ์แก่ตาว่า ฮ่องกงซึ่งเป็นชุมชนมนุษย์ขนาด 7 ล้านชีวิต ได้มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ทัดเทียมกับประเทศต่างๆ ในซีกโลกตะวันตก ทั้งนี้ อาจใช้เกณฑ์วัดจากรายได้ประชากรต่อหัวเป็นเครื่องตัดสิน โดยมีตัวเลขของธนาคารโลกระบุว่า ณ ปี 2007 รายได้เฉลี่ยต่อหัวของคนฮ่องกงสูงถึง 31,610 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทีเดียว

หันไปมองสถานการณ์ทางจีนแผ่นดินใหญ่บ้าง แม้จะมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจมานาน 30 ปีแล้ว ส่วนมากของผู้คนบนจีนแผ่นดินใหญ่ซึ่งมีตัวเลขรวมอยู่ที่ระดับ 1,300 ล้านคน ยังมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวเพียงแค่ 2,360 ล้านดอลลาร์ และจึงยังเต็มไปด้วยคนที่รอคอยราชรถแห่งโชคชะตามาเกย กระนั้นก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวสามารถให้ภาพที่ไม่ถูกต้องนักสำหรับประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล เพราะเอาเข้าจริง ภาวะยากจนเป็นสภาพการณ์ที่กระจุกอยู่ในเขตชนบท ขณะที่ชุมชนคนเงินล้านในเขตเมืองมีอัตราโตที่รวดเร็วกว่าประเทศอื่นใดในหล้าโลก ทั้งนี้ ในบรรดาเมืองใหญ่ของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมืองทางซีกตะวันออกของประเทศ ยังมีศักยภาพการเติบใหญ่ได้มหาศาล ด้วยรายได้เฉลี่ยต่อหัวของคนเมืองสูงลิ่วทิ้งห่างคนชนบทไม่รู้จักกี่เท่าต่อกี่เท่า

ผู้หญิงชาวเมืองในจีนแผ่นดินใหญ่ซึ่งเคยไล่ล่าผู้บ่าวชาวตะวันตก ขณะนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ได้อานิสงส์จากความรุ่งเรืองของประเทศ เมื่อฐานะทางเศรษฐกิจของพวกเธอเฟื่องฟูไปกับกระแสหลัก พวกเธอจึงอยู่ในสถานะที่สามารถจะ“สวยเลือกได้”มากขึ้นกว่าที่ผ่านๆ มา

สมรสข้ามเชื้อชาติภายในจีนแผ่นดินใหญ่ซึ่งแตะระดับ 4 แสนคู่ในปีที่แล้ว เคยดำเนินอยู่ในทิศทางขาขึ้นมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อเกิดวิกฤตการเงินตลาดซับไพรมเจ๊งระเบิดระเบ้อ ฉุดให้ภาพลักษณ์อันเจิดจรัสของชายชาวตะวันตกเสียหายยับเยินในสายตาของคุณน้องคุณนางในเมืองจีน รูปการณ์จึงปรากฏออกมาในการเซอร์เวย์ของค่ายฮองเนียงดอตคอมว่า สาวๆ ทั้งน้อยและใหญ่ที่ใฝ่ปองในหนุ่มชาติตะวันตกมีจำนวนลดน้อยดิ่งวูบสะท้านใจ ใช่แต่เท่านั้น แม้แต่ตัวเลขรวมของจำนวนการอนุมัติการแต่งงานกับชาวต่างชาติก็ลดน้อยไปถึง 20% ทีเดียว

แม้แนวโน้มใหม่ๆ นี้ดูจะเป็นข่าวดีสำหรับผู้ชายชาวจีน แต่สภาพการณ์ทางสังคมก็ไม่สู้จะเอื้อให้อะไรต่ออะไรสดใสมากนัก เนื่องจากปัญหาดีมานด์ล้นเกินซัปพลายนั่นเอง นโยบายหนึ่งครอบครัว-หนึ่งทายาทที่ทางการจีนใช้คุมอัตราการเพิ่มของประชากรมายาวนาน ผสานกับประเพณีนิยมที่คนจีนเน้นที่จะใช้โควตาทายาทหนึ่งเดียวนั้นสร้างลูกให้เป็นแต่เฉพาะเพศชาย คนจีนในเจเนอเรชั่นปัจจุบันจึงเต็มไปด้วยบุคคลเพศชาย โดยมีบุคคลเพศหญิงในสัดส่วนที่ไม่สมดุลกันอย่างยิ่ง ตลาดแห่งความรักในจีนแผ่นดินใหญ่จึงเป็นตลาดของผู้หญิง ส่งผลให้สาวจีนเป็นผู้หญิงช่างเลือกได้อย่างน่าอิจฉา ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ไม่ว่าแม่หญิงเธอจะตัดสินใจเลือกใครมาเป็นคู่ชีวิต จะต้องมีผู้บ่าวชาวจีนโชคร้ายราว 32 ล้านคนที่จะตกในสถานการณ์ไร้คู่เคียงเรียงหมอน ทั้งนี้ เป็นตัวเลขจากการศึกษาของวารสาร British Medical Journal ซึ่งเป็นวารสารการแพทย์จากประเทศอังกฤษที่ประกาศผลการศึกษาทางเว็บไซต์เมื่อช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา

กองทัพนักวิชาการกำลังเร่งศึกษาถึงผลสืบเนื่องทางสังคมจากสถานการณ์คับขันของชมรมคนหัวใจว้าเหว่ที่เติบใหญ่จากครอบครัวลูกโทนเพศชาย และนับถึงขณะนี้ ข้อสรุปจากการศึกษาทั้งหลาย ล้วนแต่ดูไม่จืดกันเลย

เทรนใหม่ไม่ปลื้มตะวันตกของเหล่าสาวจีน ส่งผลเป็นการยืนยันความเชื่อเก่าแก่ของคนในซีกโลกตะวันตกที่บอกว่า ผู้หญิงจีนเป็นพวกนักขุดทองซึ่งไม่รู้คุณค่าของหัวใจรัก ต่อให้ได้ปะทะกับความรักเข้าแบบเต็มๆ พวกเธอก็ไม่อาจรู้ว่านั่นคือรัก จะต่อว่าต่อขานกันไปทำไมมี หากเรามองภาพรวมอย่างไร้อคติ เราจะเห็นเหตุผลชุดใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังบรรยากาศสังคมวัตถุนิยมอันมีรากฐานอยู่บนหัวใจเย็นชาของเหล่าอิสตรีแห่งจีนแผ่นดินใหญ่ มันเป็นสภาพการณ์ที่มีแกนหลักอยู่ในปัญหาทางสังคมโดยองค์รวมซึ่งชาวจีนทั้งประเทศต้องเผชิญร่วมกันในศตวรรษที่ 21

เรื่องของเรื่องคือประเทศจีนเป็นรัฐไซส์ยักษ์ที่ขาดไร้ระบบประกันสังคมตลอดจนการให้สวัสดิการคุ้มครองดูแลสุขภาพแก่ประชาชน เมื่อขาดแคลนเสถียรภาพในการดำรงชีวิตในท่ามกลางภัยทางธรรมชาติ อีกทั้งภัยทางเศรษฐกิจการเมืองหลากหลายแง่มุม มันเป็นธรรมดาอยู่เองที่ผู้หญิงของจีนแผ่นดินใหญ่จะสรุปบทเรียนชีวิตว่า แผนสำหรับอนาคตของพวกเธอไม่อาจเหลือพื้นที่ให้แก่ความรัก อันที่จริง พวกเธอก็รู้จักอารมณ์อ่อนไหวของปุถุชนเป็นอย่างดี เพียงแต่พวกเธอไม่อาจจะโง่งมดำเนินชีวิตไปกับอารมณ์งดงามทว่าเจ็บปวดอย่างนั้นได้หวาดไหว

ชีวิตจริงที่ยิ่งกว่านิยาย อันมีองค์ประกอบของการสมรสและสร้างครอบครัวด้วยนั้น โดยเนื้อแท้แล้วมันเป็นเรื่องจริงของการหาเลี้ยงชีพและการอดออม เพื่อไม่ให้ชีวิตจะต้องลำเค็ญนักในเมื่อพวกเธอนั้นเกิดขึ้นมาบนแผ่นดินอันเต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บมากมายตลอดจนสารพัดมหัตภัยร้ายแรงที่ผลัดหน้ากันมาคุกคามฉุดคร่าให้ตกอยู่ในภาวะสิ้นเนื้อประดาตัวแบบปุบปับได้ตลอดเวลา ยิ่งกว่านั้น แม้ผู้หญิงในจีนแผ่นดินใหญ่มีโอกาสดีขึ้นมากในทางการศึกษา แต่พอจะเข้าสู่ตลาดแรงงาน พวกเธอก็ต้องเผชิญกับปัญหาการถูกกีดกันทางเพศ ตลอดจนการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียม ดังนั้น การได้แต่งงานกับผู้มีฐานะร่ำรวยจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเธอเพื่อให้ได้มาซึ่งเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชีวิต

แน่นอนว่าผู้หญิงที่จะคิดในทางวัตถุนิยมขนาดนี้มักต้องเป็นกลุ่มชนคนเมือง โดยที่ว่ามากกว่า 50% ของคนจีนยังถูกทิ้งให้ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ยากจนของเขตชนบท กระนั้นก็ตาม มันไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ที่พวกเธอจะได้รับทราบข่าวความเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตของผู้คนในเขตเมือง ซึ่งทำให้พวกเธอวาดฝันไว้มากมายเกี่ยวกับชีวิตที่ดีกว่า คลื่นความปรารถนาจะได้โอกาสใช้ชีวิตใหม่ทำให้กระแสการอพยพหลั่งไหลเข้าสู่เมืองใหญ่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนั่นหมายถึงแนวโน้มอนาคตที่คนเจเนอเรชั่นถัดๆ ไปจะคิดอย่างคนเมือง ใช้ชีวิตอย่างคนเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ

คำถามสำคัญคือ ลูกสาวชาวจีนในเจเนอเรชั่นต่อๆ ไปจะกำหนดอนาคตหัวใจของพวกเธอบนแนวคิดอันแนบแน่นอยู่กับอุดมการวัตถุนิยมเฉกเช่นคุณแม่คุณยายหรือไม่ คำตอบคือ ใช่แน่ๆ จนกว่าประเทศจีนจะเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คนที่ไม่ต้องวิตกหวาดกลัวว่าจะต้องมีเงินทองเพียงพอแก่การศึกษา การรักษาพยาบาล ตลอดจนการเลี้ยงชีพในวัยเกษียณอายุ ในเวลาเดียวกัน เมื่อประชาชนมีแนวโน้มที่จะอดออมให้มากกว่าส่วนที่ใช้จ่ายอย่างสุดๆ ภาครัฐซึ่งพยายามวางแผนเศรษฐกิจของประเทศให้มีเสถียรภาพและสมดุล ย่อมต้องเผชิญกับปัญหาชวนปวดหัว เพราะในอันที่จะผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในยุคที่ภาคส่งออกมีแต่จะหดตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยนั้น รัฐบาลจะต้องประสบความสำเร็จกับการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศขึ้นมาทดแทน

แม้รัฐบาลจีนจะพยายามเร่งการบริโภคภายในประเทศด้วยหลายมาตรการตามตำราที่ประเทศอื่นๆ ใช้กันอยู่ แต่คนจีนมีแนวโน้มต่ำที่จะเลิกละจากความเป็นนักอดออมตัวยงของโลก จนกว่าพวกเขาจะเกิดความเชื่อมั่นในอนาคต ในเวลาเดียวกัน ผู้หญิงของจีนแผ่นดินใหญ่ก็ไม่ส่อวี่แววที่จะผละจากความเชื่อว่าผู้ชายรวยๆ คือกรมธรรม์ประกันภัยที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตในอนาคตของพวกเธอ เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า ความรักเป็นของฟุ่มเฟือยที่ผู้หญิงจีนไม่อาจจะเอาชีวิตทั้งชีวิตไปแลกซื้อหามากัดกินแทนข้าวและยาได้

ถ้าจะว่าไปแล้ว ไม่ใช่แต่แม่หญิงแห่งแผ่นดินจีนที่ต้องวัดขนาดของกระเป๋าเงินของว่าที่คู่ชีวิตก่อนตัดสินใจร่วมหอลงโรงด้วยกัน ผู้คนในโลกตะวันตกทั้งหญิงและชายก็มีมากมายที่เดินนโยบายนี้ ยิ่งในศตวรรษที่ 19 ด้วยแล้ว มันเป็นธรรมดาของยุคสมัยทีเดียวที่ว่าผู้หญิงทางสหรัฐอเมริกาและยุโรปจะคำนึงถึงแง่มุมทางเศรษฐกิจในอันที่จะกำหนดอนาคตชีวิตสมรสของพวกเธอ นวนิยายเชิงสังคมของนักเขียนสตรีได้สะท้อนความคิดของผู้หญิงแห่งยุคสมัยของเธอไว้อย่างตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเป็นผลงานของเจน ออสเทน หรือ จอร์จ อีเลียต (นามปากกาของแมรี่ แอน อีแวนส์) ฯลฯ

ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ลูกสาวแห่งจีนแผ่นดินใหญ่และทุกๆ คนในประเทศนี้ต้องการอย่างแท้จริงคือ ระบบที่เอื้อความมั่นใจในเสถียรภาพทางการเงินได้สักระดับหนึ่ง หลังจากนั้น พวกเธอจะเป็นอิสระทางความคิดความรู้สึกเพียงพอที่จะมาเปิดพื้นที่ให้แก่ความละเอียดอ่อนของหัวใจ

เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทางการปักกิ่งประกาศพิมพ์เขียวว่าด้วยการปฏิรูประบบสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลที่ผู้คนเฝ้ารอกันมาแสนนาน ความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญนี้จะช่วยบรรเทาความรู้สึกขาดไร้เสถียรภาพของประชาชนโดยองค์รวมได้อย่างมหาศาล แต่ขณะเดียวกันมันเป็นเครื่องเตือนไม่ให้ลืมว่าระบบการแพทย์การรักษาพยาบาลในจีนนั้นย่ำแย่เพียงไรในปัจจุบัน แม้แต่โรงพยาบาลของรัฐก็แห่กันขึ้นราคาค่าบริการและค่าเวชภัณฑ์ไปจนสูงลิ่วตามกลไกตลาดทุนนิยมที่เล่นงานจนระบบการแพทย์พยาบาลอ่วมหนักในปัจจุบัน ส่งผลให้บริการด้านนี้แม้เพียงระดับที่พื้นฐานที่สุดก็เป็นของแพงที่คนยากคนจนจ่ายไม่ไหว

แผนปฏิรูปใหม่ของรัฐบาลมุ่งจะเอื้อให้การบริการทางการแพทย์และการรักษาพยาบาลในขั้นพื้นฐานเป็นอะไรที่เอื้อมถึงสำหรับชาวจีนทุกคนภายในปี 2020 กระนั้นก็ตาม เมื่อคำนึงถึงขนาดของประชากรและขนาดของพื้นที่แล้ว อดสงสัยไม่ได้ว่าแผนอนาคตอันแสนแพงแสนทะเยอทะยานนี้จะเป็นจริงได้อย่างไร

กว่าจะถึงตอนนั้น คนจีนก็จะเหนียวแน่นกับขนบทางการเงินของตนคือการเขม็ดแขม่อดออมอย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต ขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ของผู้คนก็ยังคงพัฒนาบนพื้นฐานของความเป็นจริงทางเศรษฐกิจมากกว่าพลังความผูกพันทางอารมณ์

ในท้ายที่สุด การทดลองประสบการณ์ทางเศรษฐกิจของลูกสาวแห่งจีนแผ่นดินใหญ่ ก็จะละม้ายการทดลองประสบการณ์ความรัก กล่าวคือ หวังใจว่ามันจะสำเร็จสมความปรารถนา

เคนต์ เอฟวิง เป็นอาจารย์และนักเขียนที่ใช้ชีวิตอยู่ในฮ่องกง สามารถติดต่อแลกเปลี่ยนความเห็นกับเขาได้ที่ kewing@hkis.edu.hk
กำลังโหลดความคิดเห็น