xs
xsm
sm
md
lg

“มาร์ค” สุนทรพจน์นักลงทุนฮ่องกง ยันไทยกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“นายกฯ อภิสิทธิ์” กล่าวสุนทรพจน์ในวงนักธุรกิจฮ่องกง พร้อมยืนยันประเทศไทยยังเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวและนักลงทุน ลั่นเป็นมิตรนักลงทุนทุกชาติ ชี้แจงสถานการณ์การเมืองเหตุล้มการประชุมอาเซียน ที่พัทยา เหตุต้องรักษาความปลอดภัยผู้นำประเทศ ยันสลายการชุมนุมช่วงสงกรานต์เป็นไปอย่างสงบ ไม่มีผู้เสียชีวิต การันตีเร่งนำความสงบสุขกลับคืน

วันนี้ (15 พ.ค.) เวลาประมาณ 12.00 น.ตามเวลาฮ่องกง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวสุนทรพจน์หัวข้อ การฟื้นฟูความเชื่อมั่นการค้าและการลงทุนของไทย ระหว่างการเลี้ยงอาหารกลางวันที่ Hong Kong trade development Coucil ณ โรงแรม Mandarin Oriental เกาะฮ่องกง โดยนายกฯกล่าววัตถุประสงค์ของการเยือนครั้งนี้ คือ เพื่อให้ความมั่นใจว่าไทยยังคงเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว และนักลงทุน อีกด้านคือ แม้ว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก การปฏิบัติต่อนักลงทุนและพ่อค้าต่างประเทศยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ไทยยังคงเป็นมิตรต่อนักลงทุน และพร้อมเสมอที่จะร่วมธุรกิจ เพราะตระหนักดีว่า นักลงทุนเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่แท้จริง

นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงเหตุการณ์ทางการเมืองในช่วงวันที่ 8-15 เมษายน และการตัดสินใจเลื่อนการประชุม ASEAN +3 โดย เหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจ คือ ความปลอดภัยของผู้นำ และรัฐบาลไม่ต้องการให้การประท้วงเปลี่ยนไปเป็นการเผชิญหน้าที่รุนแรง ระหว่างผู้ประท้วงกับรัฐบาล จึงมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเมืองพัทยา เพื่อให้รัฐบาลสามารถประกันความปลอดภัยแก่ผู้นำในการเดินทางกลับประเทศ นอกจากนี้ นายกฯกล่าวยืนยันว่า ในการปฏิบัติการสลายการชุมนุมนั้น ไม่มีผู้เสียชีวิต ขณะนี้มีการตั้งคณะกรรมการ 2 ชุด คือ ชุดสอบสวนและตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์ระหว่างวันที่ 8-15 เมษายน 2552 และชุดศึกษาการปฏิรูปการเมืองและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งหวังว่า กรรมการทั้งสองชุดจะมีข้อเสนอต่อรัฐสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการนำการเมืองบนถนน กลับคืนสู่รัฐสภา

นายกฯ กล่าวว่า สถานการณ์ของไทยกลับคืนสู่ภาวะปกติ ไทยยังคงเปิดกว้างสำหรับนักท่องเที่ยวและนักลงทุน สภาพแวดล้อมทางการลงทุนยังคงเป็นมิตร และขอให้มีความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจกับไทยอย่างที่เคยเป็น ทั้งนี้เมื่อ สัปดาห์ที่ผ่านมา ไทยได้พิสูจน์ถึงความพร้อมในการเป็นสถานที่จัดงานประชุมต่างๆ การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน+ 3 ที่กรุงเทพฯเมื่อวันที่ 7-8 พฤษภาคม ซึ่งยืนยันได้ว่า การประชุมดำเนินไปด้วยดี รัฐมนตรีมีการแลกเปลี่ยนแนวทางและวิธีการในการป้องกันการระบาดของไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ (เอช1เอ็น1) และมีผลเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นประโยชน์ประชาชนทั้งในกลุ่มอาเซียน+3 และผู้ป่วยนับพันทั่วโลก

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจของไทย ว่า ได้ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ที่มีมูลค่าถึง 116 พันล้านบาท ให้ความช่วยเหลือคนไทย โดยเฉพาะคนยากจน และผู้มีรายได้น้อย และคนชรา รัฐบาลยังได้นำเอามาตรการจูงใจด้านภาษี เพื่อลดค่าครองชีพของประชาชน ทั้งค่าเชื้อเพลิง ประปาและไฟฟ้า ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้เริ่มมาตรการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทั้งในระยะกลางและระยะยาว โดยยังคงคำนึงถึงผลประโยชน์ของมิตรต่างประเทศ รัฐบาลยังคงเดินหน้าโครงการต่างๆ ที่รัฐบาลชุดที่ผ่านได้ริเริ่มขึ้น เพื่อพัฒนาการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคม ทั้งระบบรถไฟรางคู่ การบริหารจัดการน้ำ และระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ หรือที่รู้จักกันในนามของเมกะโปรเจกต์ การพัฒนาระบบสาธารณสุข ส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและเอกชน ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและเขตเศรษฐกิจพิเศษเกาะฮ่องกง

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับไทยและฮ่องกงได้มีความสัมพันธ์กันมายาวนาน คนไทยและคนฮ่องกงต่างก็เดินทางท่องเที่ยวไปมาระหว่างกัน รวมทั้งการแลกเปลี่ยนการเดินทางเยือนของบุคคลระดับสูงของทั้งสองฝ่าย สำหรับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจนั้น การค้าระหว่างไทยและฮ่องกงเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างมีเสถียรภาพโดยมีอัตราเติบโต เฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ร้อยละ 18 ตลอดสามปีที่ผ่านมา ทำให้ฮ่องกงเป็นคู่ค้าขนาดใหญ่ของไทยในลำดับที่ 6 ในปี 2008 มูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศสูงถึง 12 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นการส่งออกจากไทยไปฮ่องกงอยู่ที่ 10 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และนำเข้าจากฮ่องกง 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับการสร้างความเข้มแข็งความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างฮ่องกงและไทย กระทรวงพาณิชย์ของไทยและการค้าและอุตสาหกรรมของฮ่องกง ได้มีความตกลงริเริ่มความร่วมมือทวิภาคี โดยผู้บริหารระดับสูงของทั้งสองฝ่ายจะได้มีการพบปะหารือระหว่างกันในเดือน หน้านี้ เพื่อพูดคุยกันในรายละเอียด

นายกฯ กล่าวว่า สำหรับการลงทุน นักลงทุนฮ่องกงเป็นผู้เข้ามาลงทุนในไทยสูงสุดในระดับที่ ห้า เมื่อปี 2008 โดยมีมูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 5 พันล้านบาท หรือ 156 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ รัฐบาลได้ประกาศให้ปี 2008-2009 เป็นปีแห่งการลงทุนของไทย ซึ่งคาดหวังว่า นักลงทุนฮ่องกงจะเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มมากยิ่งขึ้น

นายกรัฐมนตรีได้ กล่าวปัจจัยที่เอื้อต่อการลงทุนจากต่างประเทศ ว่า อันดับแรก ประเทศไทยมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการเกษตร ซึ่งเป็นการยืนยันถึงผลผลิตด้านอาหารที่ไม่เพียงสามารถตอบสนองต่อความต้อง การบริโภคทั้งภายในประเทศ แต่ยังเพียงพอต่อการส่งออก การพัฒนาและการส่งเสริมพลังงานทางเลือก ที่กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ ผลผลิตทั้งปาล์ม มันสำปะหลังได้ถูกนำมาใช้ในฐานะพลังงานชีวภาพ มั่นใจได้ว่าประเทศจะมีพลังงานเพียงพอ และเป็นพลังงานสะอาดต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสภาวะโลกร้อนเป็นประเด็นที่เป็นข้อห่วงใยในปัจจุบัน อันดับสอง ประเทศไทยยังมีแรงงานที่มีความสามารถ ซึ่งได้การฝึกอบรม ทักษะ ที่เหมาะสม รวมทั้งจิตใจรักการบริการ ยิ้มแย้มแจ่มใส ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญ เป็นที่รับรู้ทั่วโลก อันดับสาม ระบบการเงินของไทยมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และมีรากฐานที่มั่นคง ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจของโลกในปัจจุบัน ปัจจุบันไทยมรสภาพคล่องในระบบเพียงพอที่จะทำให้ประเทศหลีกพ้นปัญหากระแสเงิน ในระบบได้ นโยบายด้านการเงินและการคลังมีความสอดคล้องกันมากแต่ก่อน รวมทั้งความสำเร็จในการป้องกันจากการระบาดของไข้หวัดนกเมื่อ ปี 2003 ความเชี่ยวชาญดังกล่าวนั้นได้ถูกนำมาใช้เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ (AH1N1) ในไทย

นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงกฎหมายธุรกิจคนต่างด้าวของไทย ว่า จะไม่มีการแก้ไขกฎหมายที่จะสร้างอุปสรรคต่อนักลงทุนต่างประเทศ สำหรับความร่วมมือในระดับพหุภาคี ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญต่อพันธกิจและข้อผูกพันตามความตกลงระหว่างประเทศ และภูมิภาค

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี ได้ยืนยันว่า ไทยยังคงส่งเสริมบรรยากาศการค้าการลงทุนอย่างต่อเนื่อง และยังมีโอกาสสำหรับการลงทุนในอนาคตอีกมากในประเทศไทย รัฐบาลจะยังคงทำงานเพื่อคนไทยทุกคน โดยเฉพาะการสร้างความสมานฉันท์ โดยอยู่บนพื้นฐานของความโปร่งใส น่าเชื่อถือและเป็นไปตามหลักนิติธรรม เพราะประเทศไทยยังคงเป็นดินแดนแห่งรอยยิ้ม โอกาสและเสรีภาพ



กำลังโหลดความคิดเห็น