xs
xsm
sm
md
lg

คาดตลาดการเงินเมื่อ"อนามัยโลก" ยกระดับเตือนภัยไข้หวัดใหญ่จังโก้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แม่ค้าเนื้อหมูที่ตลาดแห่งหนึ่งในกรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์ เจ้าหน้าที่ฮูเชื่อว่า ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่าไข้หวัดใหญ่หมูนั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อยอดขายเนื้อหมู
เอเจนซี/เอเอฟพี - องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศเมื่อวันจันทร์(27) ยกระดับเตือนภัยการระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก หรือที่เรียกกันว่า "ไข้หวัดใหญ่หมู" จากระดับ 3 ขึ้นสู่ระดับ 4

องค์การอนามัยโลกกำหนดระดับเตือนภัยเอาไว้ทั้งสิ้น 6 ระดับ โดยยิ่งเป็นตัวเลขสูงขึ้นเท่าใด ก็แสดงถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายมากขึ้นเท่านั้น

คำนิยามของแต่ละระดับที่องค์การอนามัยโลกให้ไว้ และผลกระทบที่พวกนักวิเคราะห์คาดหมายกันว่าจะมีต่อตลาดการเงิน พอจะแจกแจงได้ดังนี้

**ระดับ 1** เชื้อไวรัสระบาดอยู่ในหมู่สัตว์ต่างๆ ยังไม่มีรายงานว่ามีการติดเชื้อถึงมนุษย์

**ระดับ 2** เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในสัตว์ แพร่กระจายไปในสัตว์ทั้งที่เลี้ยงไว้และสัตว์ป่า และเป็นที่ทราบกันว่าเชื้อนี้สามารถที่จะติดต่อมาสู่คนได้ จึงทำให้ถูกจัดว่าเป็นความเสี่ยงที่อาจจะลุกลามกลายเป็น "โรคระบาดซึ่งแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง" (pandemic) ในมนุษย์

--ผลกระทบต่อตลาดการเงินจะยังไม่มากนัก มีเพียงบางบริษัทหรือบางภาคอุตสาหกรรมเท่านั้นที่ได้รับผลโดยตรงจากการแพร่ระบาดของโรคในสัตว์นี้

**ระดับ 3** - เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในสัตว์ หรือในทั้งคนและสัตว์ ทำให้ผู้คนจำนวนไม่มากติดเชื้อ แต่ว่ายังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นการระบาดจากคนสู่คน และยังสามารถที่จะจำกัดการระบาดเอาไว้แค่ในระดับชุมชน

--ผลกระทบต่อตลาดนั้นยังคงจำกัดอยู่แค่เป็นการปั่นป่วนกวัดแกว่งระยะสั้นๆ อาจจะเพียงไม่กี่วัน ถึงแม้การผันผวนของราคาสินทรัพย์ทางการเงินยังอาจดำเนินต่อไปอีก ถ้าหากรัฐบาลหรือพวกทำนายเศรษฐกิจรายสำคัญๆ ปรับลดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจลง

--ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกประสบภาวะถดถอยระดับพอประมาณ ภาคอุตสาหกรรมที่จะย่ำแย่ ก็อย่างเช่น การขนส่ง, ท่องเที่ยว, นันทนาการ, และหุ้นบริษัทสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งถูกมองว่าเป็นภาคที่อ่อนไหวต่อสถานการณ์มากที่สุด โดยเฉพาะเมื่อการค้าและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศหดตัวลงอีก

--เม็ดเงินบางส่วนอาจจะไหลเข้าไปยังตลาดพันธบัตรที่มีสภาพคล่องสูงที่สุด ทำให้ผลตอบแทนของตลาดพันธบัตรเหล่านี้ลดลง

--ดอลลาร์, เยน ต่างได้รับผลดี จากการที่นักลงทุนเคลื่อนย้ายกันเข้ามา ในฐานะที่เป็นการลงทุนที่ประกันการขาดทุนได้ ในขณะที่เงินสกุลของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเฟื่องฟูใหม่และเงินสกุลที่ให้ผลตอบแทนสูงอย่างเช่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์นั้น มีค่าลดลง เพราะนักลงทุนต่างก็เลิกใช้กลยุทธ์ "แครี่เทรด" (carry trade) ที่ใช้กันมาในช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านั้น ตอนที่ตลาดหุ่นต่างหุ้นดีดขึ้นกันถ้วนหน้า

- ราคาทองคำเพิ่มขึ้น

**ระดับ 4** อันเป็นระดับปัจจุบัน มีลักษณะเด่นตรงที่ เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จากสัตว์ หรือ คน-สัตว์ มีการเปลี่ยนแปลงเป็นการติดเชื้อจากคนสู่คน จนอยู่ในระดับที่สามารถทำให้เกิดการระบาดจากชุมชนหนึ่งไปยังอีกชุมชนหนึ่งได้ มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมากว่าจะกลายเป็น "โรคระบาดซึ่งแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง" (pandemic)

--ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลก เริ่มสำแดงฤทธิ์ต่อตลาดหลักทรัพย์ในวงกว้างขึ้น มาร์ก บอน ผู้จัดการกองทุนแห่งแคนาดาไลฟ์ ในลอนดอน คาดว่าในระดับนี้ ตลาดหุ้นจะดิ่งลงอย่างฉับพลันราว 7% แต่จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่ว่าเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ มีความเกี่ยวพันเพียงใดกับประเทศที่มีการระบาด รวมทั้งปริมาณยารักษาและวัคซีนป้องกันที่มีอยู่ในประเทศนั้นๆ

--เม็ดเงินจะไหลไปยังตลาดพันธบัตรสภาพคล่องสูงมากขึ้นอีก โดยที่นักลงทุนน่าจะเลือกถือครองตราสารระยะสั้นที่มีสภาพคล่องสูงใกล้เคียงกับเงินสด และพันธบัตรที่ได้รับความนิยมสูง ๆ เดวิด คีเบิล หัวหน้าฝ่ายวิจัยด้านตราสารหนี้ ณ บริษัทคาลยอง ในลอนดอนกล่าวว่า การปรับเพิ่มระดับขององค์การอนามัยโลกในแต่ละครั้ง จะทำให้ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของรัฐบาลเยอรมนีและรัฐบาลสหรัฐฯ ลดลงราว 0.20 - 0.30 %ในช่วงเวลาไม่กี่วันหลังการประกาศ

--เยนและดอลลาร์สหรัฐฯน่าจะแข็งค่าขึ้นต่อไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับสกุลเงินที่ให้ผลตอบแทนการลงทุนสูงที่กล่าวมาข้างต้น ความกังวลว่าภาคการเงินจะกลับตึงตัวใหม่ จะทำให้เกิดการเก็งกำไร เพราะเงินดอลลาร์สหรัฐฯอาจจะถูกดึงกลับไปยังสหรัฐฯอีกครั้งเพื่อหนุนตัวเลขในบัญชี และจะเป็นการย้อนรอยวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

**ระดับ 5** - เชื้อไวรัสมีการระบาดระหว่างคนสู่คน อย่างน้อยใน 2 ประเทศซึ่งอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ยังไม่ได้รับผลกระทบในระดับนี้ แต่การประกาศระดับห้าก็เป็นการส่งสัญญาณอย่างแรงว่า กำลังจะเกิด "โรคระบาดซึ่งแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง" แล้ว

--ตลาดหลักทรัพย์จะร่วงรุนแรงต่อไปและร่วงกันในวงกว้างด้วย บอนจากแคนาดาไลฟ์คาดว่าการเพิ่มเป็นระดับ 5 และ 6 จะทำให้มูลค่าหุ้นในตลาดต่าง ๆดิ่งลงไปราว 15-20% ปริมาณการซื้อขายในตลาดจะเริ่มลดลง โดยเฉพาะเมื่อไข้หวัดหมูระบาดรุนแรงในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ธนาคารส่วนใหญ่นั้นมีมาตรการฟื้นตัวเมื่อเกิดหายนะภัย ดังนั้นพวกเขาจะสามารถซื้อขายหุ้นในที่อื่น ๆได้

--นักลงทุนจะพากันถือครองเงินสดมากขึ้น พวกตราสารหนี้ระยะสั้นจะได้รับความสนใจอย่างมาก อย่างไรก็ตามความคาดหวังที่ว่าธนาคารกลางทั้งหลายจะเร่งเข้าอัดฉีดเม็ดเงินและไล่ซื้อพันธบัตรระยะยาว ก็จะทำให้อัตราผลตอบแทนในพันธบัตรระยะยาวเพิ่มสูงขึ้น

--การโยกย้ายถ่ายเทเปลี่ยนการถือครองเงินสกุลต่าง ๆที่เริ่มในระดับสี่เริ่มรุนแรงมากขึ้น

**ระดับ 6** ระดับ"โรคระบาดซึ่งแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง" เชื้อไวรัสเกิดการติดต่อระหว่างชุมชนต่อชุมชน อย่างน้อยในหนึ่งประเทศในต่างภูมิภาคกัน การระบาดในระดับนี้เป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่าการลุกลามของโรคในระดับโลกนั้นกำลังจะเกิดขึ้น ธนาคารโลกประเมินไว้ในปี 2008 ว่า โรคไข้หวัดใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อาจจะสร้างความเสียหายให้ถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเท่ากับการหดตัวผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของโลกเกือบ 5%

--ปริมาณซื้อขายในตลาดหุ้นดิ่งแรง และสภาพคล่องในตลาดก็เหือดหายไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตที่ได้รับผลกระทบจากไข้หวัดใหญ่

--ดัชนีตลาดต่าง ๆร่วงลงลงจมดิน

--เงินสดจำนวนมหาศาลไหลออก นักลงทุนพยายามเข้าไปถือตราสารที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดและมีความน่าเชื่อถืออย่างเช่นพันธบัตรรัฐบาล ในขณะที่ตลาดต่าง ๆชะงักงัน
กำลังโหลดความคิดเห็น