เอเจนซี/เอเอฟพี - ราคาน้ำมันพุ่งเกือบ 2 ดอลลาร์ เมื่อวันจันทร์ (23) แตะสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 3 เดือน ผลกระทบจากโอเปกลดกำลังผลิต ด้าน วอลล์สตรีท ทะยานเกือบ 500 จุด หลังรัฐบาลสหรัฐฯเสนอแผนเข้าซื้อสินทรัพย์เน่าเสียธนาคารมูลค่ามหาศาลอันจะช่วยให้ภาคการเงินการธนาคารสามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ปกติด้านการให้สินเชื่อได้อีกครั้ง
น้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 1.73 ดอลลาร์ ปิดที่ 53.80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากช่วงหนึ่งของการซื้อขายทะยานไปถึง 54.05 ดอลลาร์ สูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2008 ขณะที่เบรนต์ของลอนดอน เพิ่มขึ้น 2.25 ดอลลาร์ ปิดที่ 53.47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังดิ่งลงไปต่ำกว่า 33 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในช่วงเดือนธันวาคม สืบเนื่องจากโอเปกลดกำลังผลิตอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม ราคานี้ยังต่ำกว่าสถิติสูงสุดเหนือ 147 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ช่วงกลางปีที่แล้วอยู่เกือบ 100 ดอลลาร์
อีกปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันราคาน้ำมันมาจากสัญญาณอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในจีน ชาติผู้บริโภครายใหญ่อันดับ 2 ของโลก โดยในเดือนกุมภาพันธ์ พบว่าอุปสงค์น้ำมันของจีนเพิ่มขึ้น 0.5 เปอร์เซ็นต์ หลังจาก 3 เดือนก่อนหน้านี้ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อวันจันทร์ (23) พุ่งทะยานอย่างแรงกว่า 6 เปอร์เซ็นต์ จากแผนเข้าซื้อสินทรัพย์เน่าเสียธนาคารอันจะช่วยให้ภาคการเงินการธนาคารสามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ปกติในด้านการให้สินเชื่อได้อีกครั้งและช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับเศรษฐกิจของอเมริกา
ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 497.48 จุด (6.84 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 7,775.86 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 54.38 จุด (7.08 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 768.23 จุด ขณะที่ แนสแดก ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 98.50 จุด (6.76 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,555.77 จุด
ตลาดขานรับแผนโครงการร่วมรัฐ-เอกชน ในการเข้าซื้อสินทรัพย์เน่าเสียของภาคการเงินการธนาคารของรัฐบาลประธานาธิบดี บารัค โอบามา ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูระบบธนาคารอันอ่อนเปลี้ยจากภาวะขาดทุนครั้งมโหฬารสืบเนื่องจากความล่มสลายของภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ
ในเบื้องต้น กระทรวงการคลัง จะเอาเม็ดเงินราว 75,000-100,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นเงินที่มาจากกองทุนกอบกู้ภาคเงินมูลค่า 700,000 ล้านดอลลาร์ที่รัฐสภาอนุมัติเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว เข้าไปวางในหน่วยงานร่วมภาครัฐและภาคเอกชน
หลังจากนี้ ก็จะมีเม็ดเงินจากบริษัทเพื่อการลงทุนของเอกชนเข้ามาอีก ซึ่งทางการคาดว่าจะได้เม็ดเงินทั้งหมดราว 500,000 ล้านดอลลาร์ หรืออาจจะเพิ่มขึ้นราวสองเท่าของจำนวนดังกล่าว ด้วยการช่วยเหลือของบรรษัทประกันเงินฝากและธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
นอกจากข่าวแผนซื้อสินทรัพย์เน่าเสียของภาคการเงินการธนาคารแล้ว ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากกรณียอดขายบ้านมือสองของสหรัฐฯเพิ่มขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ 5.1 เปอร์เซ็นต์ ในเดือนกุมภาพันธ์ ทั้งที่คาดหมายไว้ว่าจะร่วงลง 0.9 เปอร์เซ็นต์
การปรับตัวขึ้นของยอดจำหน่ายบ้านมือสองนับเป็นสัญญาณแห่งความหวังของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับทุกข์ทรมานมานานกว่า 2 ปี อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มอุตสากรรมเตือนว่ายอดขายจะยังคงอ่อนแอ และราคาร่วงลงไปอีก