เอเจนซี – เจ้าหน้าที่ตำรวจออสเตรเลีย ลงพื้นที่ประสบเหตุไฟป่า ที่กลายเป็นเถ้าถ่านสีดำ เพื่อหาหลักฐานในการควานหาตัวคนลอบวางเพลิง ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุเพลิงไหม้ครั้งร้ายแรงที่สุดของประเทศเกือบทะลุยอด 200 คนแล้ว
คริสติน นิกซอน อธิบดีกรมตำรวจรัฐวิกตอเรีย ดำเนินการสอบสวนเหตุไฟไหม้ป่าครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ ในชื่อปฏิบัติการฟีนิกซ์ โดยให้การรับรองว่าจะจับตัวคนก่อเหตุเพลิงนรกให้ได้
เจ้าหน้าที่ตำรวจเผยว่า ไฟป่าซึ่งโหมฮือทั่วรัฐวิกตอเรียมาตั้งแต่คืนวันเสาร์ (7) ที่ผ่านมา ครั้งนี้ ถูกตั้งข้อสงสัยว่า อาจไม่ได้เกิดมาจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ อย่างฟ้าผ่า เป็นตัวก่อประกายไฟ
จอห์น บรัมบี ผู้นำรัฐ กล่าวว่า ใครก็ตามที่กระทำความผิดในครั้งนี้ จะตั้งได้รับโทษ ฐานฆ่าคนโดยประมาท หรือตั้งใจทีเดียว
สำหรับพื้นที่ประสบภัย ซึ่งกว้างเป็น 2 เท่าของกรุงลอนดอน และกินพื้นที่มากกว่า 20 เมืองในกรุงเมลเบิร์น ทางตอนเหนือ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจประกาศเป็นพื้นที่อาชญากรรม โดยมีการติดเทปสีเหลืองโดยรอบบริเวณที่พบศพ และบ้านที่ถูกไฟไหม้
ขณะนี้ ยอดผู้เสียชีวิตจากไฟป่าที่ได้รับการยืนยันแล้วมีไม่ต่ำกว่า 173 ราย ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่า ยอดน่าจะสูงขึ้นอีก เนื่องจากยังมีคนอีกกว่า 50 คน ที่เจ้าหน้าที่ชันสูตรเชื่อว่าเสียชีวิตแล้ว แต่ยังไม่ถูกระบุตัว
ในวันนี้ (10) ไฟป่าอีกราว 25 แห่ง ยังคุกลุกลามในรัฐวิกตอเรีย โดยเมืองอีกราว 10 เมืองได้รับแจ้งเตือนถึงกระแสลมแรง ที่อาจพัดให้ไฟลามไปได้อีกด้วย
ทั้งนี้ ไฟป่าเป็นภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในออสเตรเลียทุกปี แต่เนื่องจากในปีนี้สภาพอากาศร้อนรุนแรง เกิดภัยแล้ง และมีเศษกิ่งไม้แห้งมากมาย บวกกับต้นยูคาลิปตัสที่เป็นพืชพื้นเมืองของแดนจิงโจ้ก็เป็นต้นไม้ที่มีน้ำมัน จึงกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้เกิดไฟป่าลุกลาม และยังทำให้รัฐบาลถูกกดดันอย่างหนักให้เอาจริงกับนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศด้วย