เอเจนซี - ราคาน้ำมันขยับขึ้นต่อเนื่องดีดอีกกว่า 6 เปอร์เซ็นต์เมื่อวันศุกร์(23) หลังพบหลักฐานบ่งชี้ว่าสมาชิกกลุ่มโอเปกกำลังปฏิบัติตามข้อตกลงลดกำลังผลิตครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ สวนทางกับข้อมูลทางเศรษฐกิจอันโศกเศร้าที่อาจส่งผลต่ออุปสงค์พลังงานโลกในอนาคต
น้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูด ของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนมีนาคม ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.80 ดอลลาร์ ปิดที่ 46.47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบเบรนต์ของลอนดอน ดีดตัวขึ้น 2.98 ดอลลาร์ ปิดที่ 48.37 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นหลังจาก Petrologistics บริษัทที่ปรึกษาพลังงานยักษ์ใหญ่ในตะวันออกกลางคาดการณ์ว่ากำลังผลิตของโอเปกจะลดลง 1.55 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนมกราคม ส่วนหนึ่งในข้อตกลงลดกำลังผลิต 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งลงมติกันเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
ทั้งนี้ราคาน้ำมันยังสามารถดีดตัวขึ้นได้แม้ว่าจะมีข้อมูลอันน่าห่อเหี่ยวทางเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยของโลกกำลังลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ
ข้อมูลอย่างเป็นทางการจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ (โอเอ็นเอส)ชี้เศรษฐกิจของอังกฤษกำลังอยู่ในภาวะถดถอยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1991 เป็นต้นมา หลังจากเศรษฐกิจใน 2 ไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้วหดตัว สืบเนื่องมาจากวิกฤตการเงินที่ระบาดไปทั่วโลก ขณะที่อัตราคนว่างงานในอังกฤษยังกระโดดขึ้นถึง 6.1% สูงสุดในรอบ 10 ปี
"เรายังเชื่อว่าความอ่อนแอทางเศรษฐกิจที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆน่าจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์น้ำมันมากกว่าปัจจัย ณ ปัจจุบันนี้" อดัม ซีมินสกี นักวิเคราะห์จากธนาคารดอยซ์แบงก์กล่าว และ "เราคาดหมายว่าโอเปกจะมีมติลดกำลังผลิตอีก ณ การประชุมครั้งหน้าในเดือนมีนาคม เพื่อไล่ตามอุปสงค์ลดลง"
เมื่อวันพฤหัสบดี(22) รัฐบาลสหรัฐฯเผยแพร่ข้อมูลคลังน้ำมันดิบและเชื้อเพลิงสำรองยังคงเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่มีสาเหตุมาจากความล่มสลายทางภาคอสังหาริมทรัพย์ได้กัดเซาะอุปสงค์น้ำมัน
อย่างไรก็ตามข่าวเรื่องสต๊อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้นถูกบดบังรัศมีจากแผนกอบกู้เศรษฐกิตหลายแสนล้านดอลลาร์ของรัฐบาลโอบามา ซึ่งได้ขับเคลื่อนราคาน้ำมันให้ขยับตัวสูงขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดี(22) ต่อเนื่องมาจนถึงวันศุกร์(23)ด้วย