xs
xsm
sm
md
lg

เจาะลึกขบวนการ“ตอลิบาน” (ตอนสาม)

เผยแพร่:   โดย: อนันด์ โกปัล

(จากเอเชียไทมส์ออนไลน์www.atimes.com)

Deep in the land of the Taliban
By Anand Gopal
5/12/2008

หากจะมีสถานที่ใดซึ่งเป็นเครื่องหมายอันเหมาะเหม็ง ที่แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของฝ่ายตะวันตกในอัฟกานิสถานแล้ว สถานที่นั้นย่อมต้องเป็นด่านตรวจเรียบๆ ง่ายๆ ของตำรวจ ซึ่งตั้งอยู่บนทางหลวงสายหลักทางด้านใต้ของเมืองหลวงคาบูลราว 20 นาที ด่านแห่งนี้เป็นสัญญาณแสดงถึงชายขอบของเขตนครหลวง หลังจากจุดนี้ไป รัฐบาลอัฟกานิสถานที่อเมริกันหนุนหลัง ก็ไม่ดำรงอยู่อีกต่อไป และพื้นที่ดินแดนก็กลายเป็นของพวกตอลิบาน ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่รวมตัวกันอย่างหลวมๆ และซับซ้อนเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ ตลอดจนผสมปนเปกันโดยมีทั้งนักชาตินิยม, พวกเคร่งครัดจารีตอิสลาม (อิสลามิสต์), และพวกโจรผู้ร้าย แตกต่างกันไปตามแต่ละเขตแต่ละท้องที่

(บทความนี้เป็นโครงการร่วมมือระหว่าง TomDispatch.com กับ นิตยสาร Nation Magazine โดยที่เวอร์ชั่นซึ่งสั้นกว่านี้ของบทความนี้ได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสารด้วย)

*รายงานชิ้นนี้แบ่งเป็น 3 ตอน นี่คือตอน 3 ซึ่งเป็นตอนจบ *

(ต่อจากตอนสอง)

**บทบาทสำคัญของปากีสถาน**

กรณีทำอะไรไว้แล้วถูกสิ่งที่ทำเอาไว้เล่นงานในภายหลังนั้น เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นดาดดื่นทีเดียวในอัฟกานิสถาน เมื่อก่อนนี้ สำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (ซีไอเอ) ได้มอบหมายให้ จาลาลุดดีน ฮักกานี (Jalaluddin Haqqani) เป็นหัวหน้าของเครือข่ายที่ปัจจุบันกลายเป็นกลุ่มก่อความไม่สงบกลุ่มที่สามในอัฟกานิสถาน โดยเครือข่ายนี้ตั้งฐานอยู่ทางพื้นที่พรมแดนด้านตะวันออกของประเทศ ในช่วงสงครามต่อต้านโซเวียต สหรัฐฯได้ให้เงินทองเป็นล้านๆ ดอลลาร์, จรวดต่อสู้อากาศยาน, และกระทั่งรถถัง แก่ ฮักกานี ซึ่งเวลานี้ถูกหลายๆ คนมองว่าเป็นศัตรูที่น่าหวาดกลัวที่สุดของวอชิงตัน ช่วงนั้นพวกเจ้าหน้าที่ในกรุงวอชิงตันต่างหลงใหลในตัวฮักกานีกันมาก จนกระทั่งอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชาร์ลี วิลสัน ครั้งหนึ่งเคยพูดถึงเขาว่า เป็น “คุณงามความดีที่แปลงร่างเป็นตัวบุคคล”

ฮักกานีเป็นคนแรกๆ ที่สนับสนุนเป็นปากเป็นเสียงให้แก่พวก “อาหรับอัฟกัน” ผู้ซึ่งในช่วงทศวรรษ 1980 ได้หลั่งไหลสู่ปากีสถานเพื่อเข้าร่วมเป็นนักรบจิฮัดต่อต้านสหภาพโซเวียต เขาจัดทำค่ายฝึกอบรมต่างๆ ให้แก่คนเหล่านี้ และต่อมาก็บ่มเพาะส่งเสริมสายสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับอัลกออิดะห์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่พัฒนาคลี่คลายจากเครือข่ายชาวอาหรับอัฟกันในตอนท้ายๆ ของสงครามต่อต้านโซเวียต ภายหลังเหตุการณ์โจมตีวันที่ 11 กันยายน 2001 สหรัฐฯพยายามอย่างสุดฤทธิ์เพื่อดึงเขามาอยู่ข้างเดียวกับตน อย่างไรก็ตาม ฮักกานีประกาศว่าเขาไม่สามารถยอมรับให้มีต่างชาติปรากฏตัวอยู่ในผืนแผ่นดินของชาวอัฟกันได้ และต้องจับอาวุธขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดยได้รับความช่วยเหลือจากผู้มีอุปการะคุณต่อเขามายาวนานในองค์การไอเอสไอของปากีสถาน กล่าวกันว่าเขาเป็นผู้ที่นำเอาวิธีการระเบิดพลีชีพมาใช้ในอัฟกานิสถาน โดยที่ก่อนปี 2001 ในดินแดนประเทศนี้ไม่เคยมีการใช้ยุทธวิธีเช่นนี้เลย พวกเจ้าหน้าที่ข่าวกรองฝ่ายตะวันตกชี้ตรงไปที่เครือข่ายของฮักการี หาใช่ตอลิบานไม่ ว่าเป็นตัวการในเหตุการณ์โจมตีอันเตะตาที่สุดในระยะหลังๆ มานี้ ตัวอย่างเช่น ระเบิดรถยนต์ขนาดมหึมาที่ถล่มสถานเอกอัครราชทูตอินเดียในเดือนกรกฎาคมปี 2008

เครือข่ายของฮักกานีเป็นพวกที่มีนักรบต่างชาติร่วมปฏิบัติการอยู่ด้วยมากที่สุดในอัฟกานิสถาน และมีแนวโน้มที่จะใช้วิธีสุดโต่งยิ่งเสียกว่ากลุ่มตอลิบานอื่นๆ หน่วยย่อยต่างๆ ในเครือข่ายของฮักกานียังมีความแตกต่างจากพวกตอลิบานหรือพวกฮิซบ์-ไอ-อิสลามีส่วนใหญ่ ตรงที่ทำงานอย่างใกล้ชิดกับอัลกออิดะห์ คณะผู้นำของเครือข่ายนี้มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะตั้งฐานอยู่ในเขตวาซิริสถาน ในพื้นที่ชาวชนเผ่าของปากีสถาน โดยที่ได้รับความคุ้มครองปกป้องจากองค์การไอเอสไอ

ปากีสถานหยิบยื่นความสนับสนุนไปให้แก่พวกฮักกานี โดยเป็นที่เข้าใจกันว่าเครือข่ายนี้จะยังคงทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ของตนเฉพาะภายในเขตพรมแดนอัฟกานิสถานเท่านั้น การทำความตกลงในลักษณะเช่นนี้มีความจำเป็นอยู่ เนื่องจากในปีหลังๆ มานี้ นโยบายซึ่งใช้มานมนานแล้วของปากีสถานในเรื่องให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มหัวรุนแรงเคร่งจารีตอิสลาม กำลังพาให้ประเทศถลำลงสู่สงครามอันสร้างความหายนะ ภายในเขตพรมแดนของปากีสถานเอง

ขณะที่เศษเดนของตอลิบานและอัลกออิดะห์พากันทยอยถอยเข้าไปในปากีสถานภายหลังรัฐบาลตอลิบานล่มสลายในปี 2001 กรุงอิสลามาบัดก็ได้ไปตกปากรับคำเข้าร่วม “สงครามต่อสู้การก่อการร้าย” ของคณะรัฐบาลบุช มันดูเหมือนจะเป็นการเสี่ยงลงทุนที่สามารถทำกำไรได้อย่างงดงาม วอชิงตันจัดส่งความช่วยเหลือและอาวุธยุทโธปกรณ์ทันสมัยมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์มาให้รัฐบาลทหารของปากีสถาน โดยที่ในเวลาเดียวกันนั้นก็ทำมองเมินไปอีกทางหนึ่งขณะที่จอมเผด็จการ เปอร์เวซ มูชาร์รัฟ เพิ่มการยึดครองประเทศให้กระชับมั่นคงยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการตอบแทน กรุงอิสลามาบัดก็พุ่งเป้าหมายเล่นงานพวกหัวรุนแรงอัลกออิดะห์ โดยทุกๆ สองสามเดือนจะจัดการนำเอาผู้นำ “ระดับสูง” ที่จับกุมตัวได้มาเข้าแถวโชว์ตัวต่อหน้ากล้องทีวีสักทีหนึ่ง ขณะที่ปล่อยให้คณะผู้นำของตอลิบานยังคงสามารถอยู่ในดินแดนของตนได้โดยไม่แตะต้อง

ขณะที่สถาบันทหารของปากีสถานไม่เคยดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อมุ่งกำจัดอัลกออิดะห์ให้สิ้นซาก (อันที่จริง หากทำเช่นนั้นย่อมเท่ากับการปิดก๊อก ทำให้ความช่วยเหลือที่หลั่งไหลเข้ามาต้องหยุดชะงักไปด้วยซ้ำ) แต่สิ่งที่กระทำก็ยังสามารถสร้างแรงกดดันเพียงพอที่จะทำให้พวกหัวรุนแรงชาวอาหรับ ประกาศสงครามกับกรุงอิสลามาบัด เมื่อถึงปี 2004 กองทัพปากีสถานได้ยกกำลังเคลื่อนเข้าไปในเขต “พื้นที่ชนเผ่าที่บริหารโดยส่วนกลาง” (Federally Administered Tribal Areas) อันเป็นแคว้นกึ่งปกครองตนเองที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวชนเผ่าปาชตุน และพวกนักรบอัลกออิดะห์ได้ไปพำนักลี้ภัยกันอยู่ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาใช้ความพยายามในการกวาดล้างพวกหัวรุนแรงต่างชาติกันขนาดนี้

อีกสองสามปีถัดมา การล่วงล้ำเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่าของกองทัพปากีสถาน ตลอดจนการโจมตีด้วยจรวดของสหรัฐฯที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ โดยที่บางครั้งได้สังหารคร่าชีวิตพลเรือน ก็ได้สร้างความเคียดแค้นให้แก่ประชาชนชาวชนเผ่าในท้องถิ่น กลุ่มเล็กๆ ที่มักเกิดจากการรวมตัวของชาวชนเผ่าเดียวกัน แต่นิยมเรียกตัวเองว่า พวก “ตอลิบาน” เริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้นๆ พอถึงปี 2007 ก็มีกลุ่มดังกล่าวนี้ที่เคลื่อนไหวคึกคักอยู่ในบริเวณชายแดนของปากีสถานอยู่อย่างน้อย 27 กลุ่ม ไม่นานนักหน่วยจรยุทธ์เหล่านี้ก็สามารถสร้างอำนาจควบคุมเหนือพื้นที่เขตชนเผ่าหลายๆ แห่ง อย่างเช่น เขตนอร์ทวาซิริสถาน และเขตเซาท์วาซิริสถาน อีกทั้งเริ่มประพฤติตนในลักษณะรื้อฟื้นแบบแผนกฎเกณฑ์ของตอลิบานเวอร์ชั่นทศวรรษ 1990 กลับมาใช้ใหม่ พวกเขาสั่งห้ามการเล่นดนตรี, เฆี่ยนตีเจ้าของร้านขายสุรา, และไม่ให้เด็กผู้หญิงเข้าโรงเรียน และขณะที่ยังคงวางตัวเป็นอิสระจากพวกตอลิบานชาวอัฟกัน แต่พวกเขาก็ให้ความสนับสนุนอย่างเต็มหัวใจแก่กลุ่มเหล่านั้น

เมื่อถึงสิ้นปี 2007 พวกตอลิบานชาวปากีสถานกลุ่มต่างๆ ก็ได้รวมตัวกันเข้าสู่องค์การหนึ่งเดียว นั่นคือ เตห์ริค-ไอ-ตอลิบาน (Tehrik-I-Taliban)ภายใต้การบังคับบัญชาของ ไบตุลเลาะห์ เมห์ซุด (Baitullah Mehsud) ผู้นำจรยุทธ์วัย 30 เศษๆที่ความเป็นมาลี้ลับ พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของปากีสถานประณามกลุ่มของเมห์ซุด (โดยปกติแล้วจะอ้างถึงโดยเรียกกันง่ายๆ ว่า “กลุ่มตอลิบานชาวปากีสถาน”) ว่าเป็นตัวการก่อเหตุโจมตีครั้งใหญ่ๆ หลายครั้ง รวมทั้งกรณีลอบสังหารนางเบนาซีร์ บุตโต ด้วย เมห์ซุดและพันธมิตรของเขามีความเชื่อมโยงกับอัลกออิดะห์อย่างแข็งขัน และดำเนินความสัมพันธ์กับฝ่ายทหารของปากีสถานในลักษณะที่เดี๋ยวก็ทำสงครามด้วยเดี๋ยวก็หยุดพักรบไม่แน่นอน ในขณะเดียวกัน สมาชิกบางส่วนของพวกตอลิบานชาวปากีสถาน ก็เล็ดรอดข้ามชายแดนเข้าไปร่วมกับสมัครพรรคพวกชาวอัฟกันของพวกตน ในการทำสงครามต่อต้านอเมริกัน

เตห์ริค-ไอ-ตอลิบาน สามารถพิสูจน์ตัวเองว่ามีอิทธิพลทรงอำนาจได้อย่างน่าประหลาดใจ พวกเขายังความปราชัยให้แก่หน่วยทหารปากีสถาน ซึ่งพวกพลทหารมักไม่ค่อยอยากจะรบกับเพื่อนร่วมชาติร่วมเผ่าพันธุ์ของตนเอง แต่แทบจะทันทีที่เตห์ริกผงาดขึ้นมา ความแตกร้าวก็ปรากฏเช่นเดียวกัน ไม่ใช่ผู้บัญชาการนักรบตอลิบานชาวปากีสถานทุกคนหรอกที่มั่นอกมั่นใจว่ามีสมรรถนะในการทำสงครามสองแนวรบพร้อมๆ กัน มีส่วนหนึ่งของขบวนการนี้ที่เรียกตัวเองว่า “ตอลิบานท้องถิ่น” หันไปใช้ยุทธศาสตร์อีกอย่างหนึ่งที่แตกต่างออกไป และพยายามหลีกเลี่ยงไม่ทำศึกกับฝ่ายทหารของปากีสถาน

นอกไปจากนี้แล้ว ยังมีกลุ่มหัวรุนแรงชาวปากีสถานอื่นๆ ที่มีจำนวนมากพอดูทีเดียว (ในจำนวนนี้หลายๆ กลุ่มได้รับการฝึกอบรมจากองค์การไอเอสไอ เพื่อให้ไปสู้รบในดินแดนแคชเมียร์ส่วนที่อินเดียปกครองอยู่) เวลานี้ก็กำลังเข้าไปปฏิบัติการอยู่ในบริเวณชายแดนปากีสถานด้วย โดยที่พวกเขางดเว้นไม่สู้รบกับรัฐบาลปากีสถาน แต่มุ่งเล่นงานพวกอเมริกันในอัฟกานิสถาน ตลอดจนเส้นทางลำเลียงของอเมริกันที่เข้าสู่อัฟกานิสถาน

ผลลัพธ์ของสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดเหล่านี้ ก็คือ การผูกพันธมิตรและการหยุดยิงที่พันกันอย่างยุ่งเหยิงและหักมุมอีนุงตุงนัง โดยที่ปากีสถานกำลังสู้รบทำสงครามปราบปรามพวกอัลกออิดะห์และส่วนหนึ่งของกลุ่มตอลิบานชาวปากีสถาน ขณะที่ปล่อยปละละเว้นกลุ่มตอลิบานชาวปากีสถานอีกส่วนหนึ่ง ตลอดจนกลุ่มหัวรุนแรงอิสระอื่นๆ ให้มีเสรีที่จะทำภารกิจของพวกเขาได้ตามใจ ภารกิจดังกล่าวเหล่านี้รวมถึงการข้ามพรมแดนเข้าไปในอัฟกานิสถาน ที่ซึ่งทั้งตอลิบานชาวปากีสถาน, อัลกออิดะห์, และนักรบอิสระจากพื้นที่ชนเผ่าและที่อื่นๆ จะจัดแถวรวมตัวผสมผเสกันกลายเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองชาวตะวันตกผู้หนึ่งเรียกขานว่า “แนวร่วมสีรุ้ง” เพื่อมุ่งเล่นงานทหารสหรัฐฯ

**มีชีวิตอยู่ในโลกแห่งสงคราม**

ถึงแม้มีความเชื่อมโยงกับต่างชาติดังที่กล่าวมานี้ แต่พวกกบฎชาวอัฟกันโดยส่วนใหญ่แล้วยังคงเป็นพวกที่งอกเงยขยายตัวขึ้นจากภายในประเทศเอง นักรบต่างชาติโดยเฉพาะอัลกออิดะห์นั้น แทบไม่มีอิทธิพลทางอุดมการณ์ต่อขบวนการผู้ก่อความไม่สงบโดยส่วนใหญ่ และชาวอัฟกันแทบทั้งหมดยังคงวางตัวถอยห่างจากคนนอกเหล่านี้ “บางครั้งก็มีกลุ่มคนต่างชาติซึ่งพูดภาษาที่ไม่เหมือนพวกเราเดินผ่านมา” ฟาเซล วาลิ ชาวจังหวัดกาซนี ย้อนทบทวนความหลัง “แต่พวกเราไม่เคยพูดจากับพวกเขาเลย และพวกเขาก็ไม่พูดจากับพวกเรา”

สงครามจิฮัดระดับโลกในเวอร์ชั่นของอัลกออิดะห์ ไม่ได้รับการขานรับหรอกในดินแดนแห่งภูเขาสูงทุรกันดารและทะเลทรายที่มีลมแรงของภาคใต้อัฟกานิสถาน ตรงกันข้าม เรื่องที่ถือเป็นความสนใจสำคัญในดินแดนจำนวนมากของประเทศนี้ กลับเป็นเรื่องที่มีลักษณะท้องถิ่นอย่างเข้มข้น นั่นคือ เรื่องความปลอดภัยของแต่ละบุคคล

ในโลกที่มีแต่สงครามไม่มีที่สิ้นสุด โดยที่รัฐบาลก็เอาแต่จ้องจะโกงกินปล้นชิง, มีโจรผู้ร้ายเตร็ดเตร่อยู่ทั่วไป, และยังต้องเผชิญกับจรวด “เฮลล์ไฟร์” (Hellfire) ความสนับสนุนจึงพร้อมที่จะเทไปให้แก่พวกที่สามารถทำให้เกิดความมั่นคงปลอดภัยขึ้นมาได้ ระยะไม่กี่เดือนที่ผ่านมา กิจกรรมที่มีอันตรายที่สุดอย่างหนึ่งในอัฟกานิสถาน กลายเป็นกิจกรรมประเภทที่มีการเฉลิมฉลองกันมากที่สุดในประเทศนี้ ได้แก่ งานเลี้ยงแต่งงานอันรื่นเริงสนุกสนามที่ชาวอัฟกันชื่นชอบกันนัก กองทหารสหรัฐฯได้ทิ้งระเบิดใส่งานเลี้ยงเช่นนี้หนหนึ่งในเดือนกรกฎาคม สังหารผู้คนไป 47 คน จากนั้นในเดือนพฤศจิกายน เครื่องบินรบหลายลำก็ได้เข้าถล่มงานเลี้ยงแต่งงานอีกรายหนึ่ง ฆ่าคนตายไปราว 40 คน อีกสองสามสัปดาห์ถัดมา พวกเขาได้ไปโจมตีงานเลี้ยงฉลองหมั้น สังหารผู้คนไป 3 คน

“เรากำลังเริ่มคิดกันแล้วว่า เราไม่ควรที่จะออกไปอยู่กลางแจ้งกันเป็นจำนวนมากๆ หรือจัดงานแต่งงานกันในที่สาธารณะ” อับดุลเลาะห์ วาลี บอกกับข้าพเจ้า วาลีพำนักอาศัยอยู่ในเขตๆ หนึ่งของจังหวัดกาซนี ซึ่งพวกผู้ก่อความไม่สงบสั่งห้ามไม่ให้เล่นดนตรีและการเต้นรำในงานเลี้ยงแต่งงานดังที่กล่าวมาข้างต้น แน่นอนว่ามันเป็นชีวิตที่เข้มงวดแห้งแล้ง แต่นั่นก็ไม่อาจหยุดยั้งวาลีไม่ให้ปรารถนาให้พวกเขากลับขึ้นครองอำนาจอีกครั้ง

งานแต่งงานแสนจะจืดชืดไร้รสชาติก็จริงอยู่ แต่มันก็ยังดีกว่าที่จะไม่สามารถจัดงานแต่งงานกันได้เลย

อนันด์ โกปัล เขียนเรื่องเกี่ยวกับอัฟกานิสถาน, ปากีสถานและ “สงครามต่อสู้การก่อการร้าย” อยู่บ่อยครั้ง เขาเป็นผู้สื่อข่าวที่ประจำอยู่ในอัฟกานิสถานให้แก่ คริสเตียน ไซแอนซ์ มอนิเตอร์ ต้องการทราบข้อมูลและข้อเขียนของเขาเพิ่มเติม เชิญแวะเยือนเว็บไซต์ของเขา (anandgopal.com) สำหรับข้อเขียนชิ้นนี้ที่เป็นเวอร์ชั่นตีพิมพ์ ปรากฏอยู่ในนิตยสาร Nation Magazine ฉบับล่าสุด

  • เจาะลึกขบวนการ“ตอลิบาน” (ตอนแรก)
  • เจาะลึกขบวนการ“ตอลิบาน” (ตอนสอง)
  • เจาะลึกขบวนการ“ตอลิบาน” (ตอนสอง)
    หากจะมีสถานที่ใดซึ่งเป็นเครื่องหมายอันเหมาะเหม็ง ที่แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของฝ่ายตะวันตกในอัฟกานิสถานแล้ว สถานที่นั้นย่อมต้องเป็นด่านตรวจเรียบๆ ง่ายๆ ของตำรวจ ซึ่งตั้งอยู่บนทางหลวงสายหลักทางด้านใต้ของเมืองหลวงคาบูลราว 20 นาที ด่านแห่งนี้เป็นสัญญาณแสดงถึงชายขอบของเขตนครหลวง หลังจากจุดนี้ไป รัฐบาลอัฟกานิสถานที่อเมริกันหนุนหลัง ก็ไม่ดำรงอยู่อีกต่อไป และพื้นที่ดินแดนก็กลายเป็นของพวกตอลิบาน ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่รวมตัวกันอย่างหลวมๆ และซับซ้อนเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ ตลอดจนผสมปนเปกันโดยมีทั้งนักชาตินิยม, พวกเคร่งครัดจารีตอิสลาม (อิสลามิสต์), และพวกโจรผู้ร้าย แตกต่างกันไปตามแต่ละเขตแต่ละท้องที่
    กำลังโหลดความคิดเห็น