เอเจนซี - เบรนดัน สมิธ รัฐมนตรีกสิกรรมของไอร์แลนด์ เปิดเผยเมื่อวันอังคาร(9) ว่า พบสารไดออกซิน 3 ใน 11 ฟาร์มปศุสัตว์ที่เข้าตรวจสอบ หลังวิกฤตพบสารพิษปนเปื้อนในเนื้อหมูที่สร้างความแตกตื่นไปทั่วยุโรป
“วัว 3 ใน 11 ฟาร์มมีสารไดออกซิน แต่ยังไม่เกินที่กฎหมายกำหนด” สมิธ แถลงข่าว “เราพอใจที่ยังไม่มีความเสี่ยงทางสาธารณสุขของประชาชน”
สมิธ กล่าวต่อว่า ได้สั่งห้ามนำปศุสัตว์ใดๆ จากฟาร์มทั้ง 3 แห่งไปฆ่า และนำเข้าสู่วงจรอาหารจนกว่าจะมีการตรวจสอบหาระดับสารไดออกซินทีละตัว “จนกระทั่งถึงเวลานี้จะไม่มีเนื้อวัวจากฟาร์มเหล่านี้ได้รับอนุญาตเข้าสู่ตลาด”
ขณะที่ อลัน เรลลี เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางอาหารของไอร์แลนด์ กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์เนื้อวัวจะไม่ถูกเรียกคืนจากตลาด “ระดับที่พบในหมูสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด 80-200 แต่ในกรณีของเนื้อวัวอยู่ในระดับเพียง 2 หรือ 3 เท่า”
รัฐบาลไอร์แลนด์เมื่อวันเสาร์ (7) ได้สั่งอุตสาหกรรมอาการให้เรียกคืนผลิตภัณฑ์หมูที่ผลิตภายในประเทศออกจากร้านค้า ร้านอาหารและโรงงานต่างๆ หลังพบสารไดออกซินปนเปื้อน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ แม้ทางการชี้ว่า โอกาสเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งนั้นต้องขึ้นอยู่กับสุขภาพของผู้บริโภคที่อ่อนแออย่างยิ่งด้วยก็ตาม
คณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวว่า หมูปนเปื้อนสารเคมีของไอร์แลนด์ อาจถูกส่งออกไปยัง 21 ประเทศทั่วโลก รวมไปถึงอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ญี่ปุ่น รัสเซีย และสหรัฐฯ
สำนักงานด้านความปลอดภัยอาหารของรัฐบาลไอร์แลนด์ หรือ เอฟเอสเอไอ ประกาศเตือนประชาชน ว่า ไม่ควรบริโภคเนื้อหมู และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเนื้อหมูทุกชนิด ซึ่งผลิตในไอแลนด์ จนกว่าทางรัฐบาลจะทราบรายละเอียดของการปนเปื้อน
ทางการไอร์แลนด์และเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสืบสวนหาแหล่งที่มาของอาหารสัตว์ปนเปื้อนดังกล่าว ซึ่งคาดว่าอาจเป็นโรงงานแห่งหนึ่งของบริษัท มิลสตรีม เพาเวอร์ รีไซคลิง จำกัด ใกล้กับเมืองเฟนาก ในเขตคาร์โลว์ทางตะวันตกเฉียงใต้ของไอร์แลนด์
เดวิด เคอร์แตง โฆษกของบริษัทระบุว่าสิ่งที่ทางการกำลังตรวจสอบอยู่ในขณะนี้คือน้ำมันที่ใช้ในเครื่องจักรสำหรับอบขนมปังเก่าที่เป็นส่วนผสมของอาหารสัตว์ เขากล่าวด้วยว่า บริษัทไม่ได้เติมน้ำมันหรือสารอื่นใดลงไปในอาหารในระหว่างกระบวนการผลิต
นายกรัฐมนตรี ไบรอัน โคเวน ได้พยายามระงับสถานการณ์ในครั้งนี้โดยบอกว่ารัฐบาลจำเป็นต้อง “ใช้มาตรการทุกอย่างที่จำเป็น” ในการสร้างความมั่นใจให้กับอุตสาหกรรมแขนงนี้ในอนาคต และกล่าวอีกว่า
“เราพบต้นตอของปัญหาแล้ว ขณะนี้กำลังตรวจสอบอย่างต่อเนื่องเป็นขั้นตอน และเราจะต้องดำเนินการเพื่อส่งเสริมให้เกิดความมั่นใจในหมู่สาธารณชน แต่แน่นอนว่าเราจะทำให้อุตสาหกรรมแขนงนี้เดินหน้าต่อไปได้นับจากจุดนี้”
“วัว 3 ใน 11 ฟาร์มมีสารไดออกซิน แต่ยังไม่เกินที่กฎหมายกำหนด” สมิธ แถลงข่าว “เราพอใจที่ยังไม่มีความเสี่ยงทางสาธารณสุขของประชาชน”
สมิธ กล่าวต่อว่า ได้สั่งห้ามนำปศุสัตว์ใดๆ จากฟาร์มทั้ง 3 แห่งไปฆ่า และนำเข้าสู่วงจรอาหารจนกว่าจะมีการตรวจสอบหาระดับสารไดออกซินทีละตัว “จนกระทั่งถึงเวลานี้จะไม่มีเนื้อวัวจากฟาร์มเหล่านี้ได้รับอนุญาตเข้าสู่ตลาด”
ขณะที่ อลัน เรลลี เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางอาหารของไอร์แลนด์ กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์เนื้อวัวจะไม่ถูกเรียกคืนจากตลาด “ระดับที่พบในหมูสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด 80-200 แต่ในกรณีของเนื้อวัวอยู่ในระดับเพียง 2 หรือ 3 เท่า”
รัฐบาลไอร์แลนด์เมื่อวันเสาร์ (7) ได้สั่งอุตสาหกรรมอาการให้เรียกคืนผลิตภัณฑ์หมูที่ผลิตภายในประเทศออกจากร้านค้า ร้านอาหารและโรงงานต่างๆ หลังพบสารไดออกซินปนเปื้อน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ แม้ทางการชี้ว่า โอกาสเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งนั้นต้องขึ้นอยู่กับสุขภาพของผู้บริโภคที่อ่อนแออย่างยิ่งด้วยก็ตาม
คณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวว่า หมูปนเปื้อนสารเคมีของไอร์แลนด์ อาจถูกส่งออกไปยัง 21 ประเทศทั่วโลก รวมไปถึงอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ญี่ปุ่น รัสเซีย และสหรัฐฯ
สำนักงานด้านความปลอดภัยอาหารของรัฐบาลไอร์แลนด์ หรือ เอฟเอสเอไอ ประกาศเตือนประชาชน ว่า ไม่ควรบริโภคเนื้อหมู และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเนื้อหมูทุกชนิด ซึ่งผลิตในไอแลนด์ จนกว่าทางรัฐบาลจะทราบรายละเอียดของการปนเปื้อน
ทางการไอร์แลนด์และเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสืบสวนหาแหล่งที่มาของอาหารสัตว์ปนเปื้อนดังกล่าว ซึ่งคาดว่าอาจเป็นโรงงานแห่งหนึ่งของบริษัท มิลสตรีม เพาเวอร์ รีไซคลิง จำกัด ใกล้กับเมืองเฟนาก ในเขตคาร์โลว์ทางตะวันตกเฉียงใต้ของไอร์แลนด์
เดวิด เคอร์แตง โฆษกของบริษัทระบุว่าสิ่งที่ทางการกำลังตรวจสอบอยู่ในขณะนี้คือน้ำมันที่ใช้ในเครื่องจักรสำหรับอบขนมปังเก่าที่เป็นส่วนผสมของอาหารสัตว์ เขากล่าวด้วยว่า บริษัทไม่ได้เติมน้ำมันหรือสารอื่นใดลงไปในอาหารในระหว่างกระบวนการผลิต
นายกรัฐมนตรี ไบรอัน โคเวน ได้พยายามระงับสถานการณ์ในครั้งนี้โดยบอกว่ารัฐบาลจำเป็นต้อง “ใช้มาตรการทุกอย่างที่จำเป็น” ในการสร้างความมั่นใจให้กับอุตสาหกรรมแขนงนี้ในอนาคต และกล่าวอีกว่า
“เราพบต้นตอของปัญหาแล้ว ขณะนี้กำลังตรวจสอบอย่างต่อเนื่องเป็นขั้นตอน และเราจะต้องดำเนินการเพื่อส่งเสริมให้เกิดความมั่นใจในหมู่สาธารณชน แต่แน่นอนว่าเราจะทำให้อุตสาหกรรมแขนงนี้เดินหน้าต่อไปได้นับจากจุดนี้”
