xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯ ใหม่ ปท.ไทยผู้ไม่ค่อยเป็นความหวังของใครๆ

เผยแพร่:   โดย: ชอว์น ดับเบิลยู คริสพิน

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์www.atimes.com)

Low expectation premier for Thailand
By Shawn W Crispin
17/09/2008

การเลื่อนชั้นนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี บ่งชี้ให้เห็นถึงความอ่อนแอที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของพรรคพลังประชาชน ตลอดจนความแตกแยกภายในพรรค จากการที่เขาแทบไม่มีประสบการณ์หรืออิทธิพลบารมีทางการเมืองเอาเลย ระยะเวลาแห่งการนั่งเก้าอี้ของเขาจึงน่าจะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ และความยุ่งยากวุ่นวายทางการเมืองของประเทศไทยจึงยังห่างไกลจากการยุติ

กรุงเทพ – เมื่อต้นเดือนสิงหาคม มีรายงานว่าอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้จัดการประชุมเป็นการภายในที่กรุงเทพฯ เฉพาะในหมู่ผู้คนที่เขาไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุด เพื่อปรึกษาหารือถึงความเคลื่อนไหวทางการเมืองก้าวต่อๆ ไปของเขา รวมทั้งการหลบหนีความยุติธรรมไปลี้ภัยในอังกฤษที่เขาวางแผนไว้แล้วด้วย นายเนวิน ชิดชอบ ผู้ทรงอำนาจบารมีในพื้นที่ต่างจังหวัด อีกทั้งเป็นบุคคลวงในทางการเมือง ได้ไปยังที่ประชุมด้วย ทว่าถูก พ.ต.ท.ทักษิณบอกให้รออยู่ข้างนอก ขณะที่การหารือดำเนินไปในห้องที่ปิดประตู

เมื่อการหารือยุติลง พ.ต.ท.ทักษิณบอกกับนายเนวินที่ยังคงอ้อยอิ่งอยู่แถวนั้นว่า นายเนวิน “กำลังเคลื่อนไหวเร็วเกินไป” ในการรวบรวมอำนาจภายในพรรคพลังประชาชน (พปช.)เอาไว้ที่ตัวเอง ทั้งนี้ตามคำบอกเล่าของแหล่งข่าวผู้หนึ่งที่ทราบเรื่องการพูดจาโต้ตอบคราวนี้

ภายใต้สภาพภูมิหลังดังที่กล่าวขานกันมานี้ นายเนวินได้ทำให้การแต่งตั้งนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่เมื่อวันพุธ(17) กลายเป็นการเอกเซอร์ไซส์ที่มีการใช้อารมณ์ฉุนเฉียวกันอย่างมาก อันเป็นการเผยให้เห็นการแตกแยกแบ่งฝ่ายภายในพรรค ซึ่งอาจส่งผลกระทบถึงขั้นชี้ขาดต่อการเลือกตั้งทั่วไปที่คาดหมายกันว่าจะจัดขึ้นในเวลาอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

การเลื่อนชั้นนายสมชาย น้องเขย พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีพื้นเพมาจากทางภาคใต้และเป็นผู้พิพากษามานานปี บ่งชี้ให้เห็นความอ่อนแอและการแบ่งขั้วที่ขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ภายในพรรค พปช. กลุ่มของนายเนวินที่มี ส.ส. 70 คนต้องการให้แต่งตั้งหัวหน้าพรรค พปช. นายสมัคร สุนทรเวช กลับเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ภายหลังเขาถูกศาลพิพากษาในสัปดาห์ที่แล้วว่าขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่ง จากการกระทำผิดในลักษณะผลประโยชน์ทับซ้อน ด้วยการจัดรายการโชว์การทำอาหารทางโทรทัศน์โดยที่ได้ค่าจ้างตอบแทน

ทางด้านฝ่ายที่คัดค้านนายสมัคร --ซึ่งนำโดยกลุ่มนักการเมืองภาคอีสานที่เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นพวกจงรักภักดีเหนียวแน่นต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ—ได้แสดงความวิตกว่า การให้นายสมัครกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกคำรบหนึ่ง จะเป็นการยั่วยุ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” กลุ่มประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่ได้เข้ายึดทำเนียบรัฐบาลมาตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม และทำให้การทำงานของรัฐบาลอยู่ในสภาพอัมพาต

หลังจากที่สภาได้ประสบความล้มเหลวในการหาตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่ไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณต่อสายเข้ามาในการพิจารณาตัดสินการแต่งตั้งนายสมชาย จากนั้นเมื่อวันพุธ(17)ที่ผ่านมา ก็มี ส.ส. 298 คนจากจำนวนสมาชิกทั้งหมดในสภาผู้แทนราษฎร 480 คน ลงมติเลือกให้นายสมชายเป็นนายกรัฐมนตรี

บุคคลวงในรัฐบาลผู้หนึ่งพูดถึงนายสมชายว่า เป็น “ผู้เข้าแข่งขันซึ่งไม่ค่อยเป็นที่คาดหวังอะไรของใคร” แต่ขณะเดียวกันก็เป็นผู้เข้าแข่งขันซึ่ง “ไม่ประวัติเรื่องการทุจริตหรือการประพฤติมิชอบ” บุคคลวงในผู้นี้ชี้ว่า พรรคประชาธิปไตยที่เวลานี้เป็นฝ่ายค้านนั่นแหละ คือผู้ที่แต่งตั้งนายสมชายให้ดำรงตำแหน่งเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรมในช่วงทศวรรษ 2530 ตั้งแต่ตอนที่ พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่ทันเข้าสู่วงการเมืองด้วยซ้ำ

สำหรับนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น ถึงแม้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะตั้งข้อกล่าวหาอันฉกาจฉกรรจ์จริงจังยิ่ง แต่เขาก็ดูจะไม่ใช่เป็นตัวแทนผู้หมอบราบคาบแก้ว ดังที่ทางพันธมิตรวาดภาพไว้ ยิ่งหลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณหลบหนีความยุติธรรมไปเมื่อกลางเดือนสิงหาคมแล้ว นักการเมืองช่ำชองโชกโชนผู้นี้ก็ได้ดำเนินการหลายประการเพื่อพยายามรวบรวมเพิ่มพูนอำนาจของเขาเองภายในพรรคพลังประชาชนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น รวมทั้งการผูกพันธมิตรกับนายเนวิน เวลานี้นายสมัครยังคงมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรค พปช.อยู่ ถึงแม้เขาได้กล่าวภายหลังการถูกศาลพิพากษาว่า เขาวางแผนที่จะเลิกราจากการเมือง

อย่างไรก็ดี แทบไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะถอยห่างหายไปจากเวทีอย่างสิ้นเชิง และเป็นที่คาดหมายกันว่า แม้อาจจะไม่สามารถเป็นพลังที่ชี้ขาด แต่เขาจะยังคงเป็นพลังที่คอยเติมเต็ม อยู่ข้างหลังฉากต่อไป นายสมัครนั้นยังคงแสดงท่าทีว่าปรารถนาที่จะได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง แม้ภายหลังจากที่ต้องพ้นเก้าอี้ตามคำพิพากษาของศาล และไม่ได้ปรากฏตัวขณะที่สภาออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในวันพุธ

ความตึงเครียดขัดแย้งกันภายในพรรค พปช.เช่นนี้ เป็นสัญญาณแสดงว่าสมัยแห่งการดำรงตำแหน่งของนายสมชายจะอุดมด้วยความอ่อนแอ อีกทั้งอายุสั้น และทำให้ต้องมีการตั้งคำถามกันขึ้นมาใหม่ว่า โฉมหน้าสัดส่วนของส.ส.ในสภาจะออกมาอย่างไรในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ซึ่งคาดหมายกันว่าจะจัดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนหลังจากงบประมาณแผ่นดินปี 2552 ผ่านรัฐสภาแล้ว หรือไม่ก็ภายหลังพรรคพลังประชาชนถูกยุบด้วยความผิดฐานทุจริตในการเลือกตั้ง ดังที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ลงมติเมื่อเร็วๆ นี้และเสนอเรื่องต่อไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ประมาณหนึ่งในสามของส.ส.พปช.ที่อยู่ในตำแหน่งเวลานี้ อาจเลือกที่จะไม่ออกไปจับกลุ่มกันใหม่ภายใต้พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคอะไหล่ของทางฝ่ายทักษิณ และอาจมีความมุ่งหมายที่จะก่อรูปขึ้นเป็นพรรคการเมืองที่เน้นไปยังภาคอีสานและอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของนายเนวิน

ถึงแม้นายสมชายแสดงท่าทีรอมชอม โดยเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาได้ประกาศยกเลิกพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินที่นำออกมาใช้โดยนายสมัคร ซึ่งได้สร้างความเสียหายหนักให้แก่ภาคธุรกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุน แต่ทางกลุ่มพันธมิตรก็ได้ออกมาย้ำแล้วว่าคัดค้านเต็มที่กับการแต่งตั้งนายสมชายเป็นนายกรัฐมนตรี อีกทั้งให้คำมั่นว่าจะยังคงชุมนุมยืดเยื้อกันรอบๆ ทำเนียบรัฐบาลต่อไป บุคคลวงในรัฐบาลผู้หนึ่งแสดงความหวังว่า ภูมิหลังของนายสมชายที่เป็นคนใต้ อันเป็นภูมิลำเนาของพวกผู้ประท้วงส่วนที่มาจากต่างจังหวัดจำนวนมาก อาจจะทำให้ได้รับความเห็นอกเห็นใจบ้างจากภายในกลุ่มพันธมิตร

อย่างไรก็ดี กลุ่มผู้ประท้วงกลุ่มนี้ได้ตราหน้านายสมชายไปแล้วว่าเป็นตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณอีกผู้หนึ่ง และทางพันธมิตรจะคอยจับตาดูว่านายสมชายพยายามอยู่หรือเปล่าที่จะใช้ตำแหน่งแห่งอำนาจ ตลอดจนสายสัมพันธ์ของเขาในระบบยุติธรรมของไทย เพื่อยังความเสียหายให้แก่คดีทุจริตคอร์รัปชั่นหลายๆ คดีที่พี่เขยผู้หลบลี้หนีภัยของเขาตกเป็นจำเลย และเวลานี้กำลังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการพิจารณา

เมื่อไม่นานมานี้เอง คุณหญิงพจมาน ภริยาของพ.ต.ท.ทักษิณได้ถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิดตามข้อกล่าวหาเรื่องหลีกเลี่ยงการเสียภาษี นอกจากนั้น ทั้งคู่ยังถูกฟ้องร้องว่ากระทำผิดกฎหมายในการทำสัญญาฉ้อฉลซึ่งคุณหญิงพจมานทำกับทางรัฐบาลเพื่อซื้อที่ดินในกรุงเทพฯ โดยคดีนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ระหว่างที่อยู่ในเก้าอี้นายกรัฐมนตรี นายสมัครได้ปล่อยให้คดีเหล่านี้เดินหน้าไป และการแต่งตั้งนายสมชายคราวนี้ ย่อมหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะถูกกลุ่มพันธมิตรวิพากษ์วิจารณ์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องหันไปพึ่งพาการเล่นพรรคเล่นพวก เพื่อประคับประคองทุนทางการเมือง ตลอดจนฐานะทางการเงินส่วนตัวของเขาที่ล้วนแต่กำลังอยู่ในอาการเสื่อมโทรมลง

ทั้งนี้ศาลไทยได้อายัดทรัพย์สินจำนวน 76,000 ล้านบาทของเขาเอาไว้ และนักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่า การที่เมื่อเร็วๆ นี้เขายินยอมขายสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ซิตี้ ในอังกฤษ คือสิ่งบ่งชี้ว่าเงินทองสภาพคล่องของเขากำลังเหือดแห้ง

ความพยายามเมื่อไม่นานมานี้ ที่จะให้มีการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินถูกอายัดไว้ของเขาก้อนหนึ่ง ซึ่งอยู่ในธนาคารไทยพาณิชย์จำนวน 16,000 ล้านบาท ออกมายังกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง อันเป็นกระทรวงที่อยู่ในความควบคุมของ พปช. ด้วยข้ออ้างว่าเพื่อชำระภาษีนั้น พวกนักวิเคราะห์ก็มองในทำนองเดียวกันว่า เป็นสัญญาณแห่งความลำบากทางการเงินที่มากขึ้นเรื่อยๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ

**ผู้อุปถัมภ์ที่อ่อนแอลงเสียแล้ว**

ฐานะทางการเงินซึ่งอ่อนแอลงของ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังเป็นสิ่งที่ปรากฏออกมาให้เหล่านักการเมืองที่อยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ของ พปช.ได้เห็นกันชัดๆ ขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงจังหวะที่การเลือกตั้งครั้งใหม่อันต้องจับจ่ายใช้สอยกันอย่างแพงลิ่ว ก็ทำท่าจะจัดขึ้นในอีกไม่นานนักแล้ว ในเวลาเดียวกัน นายเนวินซึ่งเป็นที่เข้าใจกันว่ามั่งคั่งร่ำรวยเงินสด โดยที่ธุรกิจครอบครัวของเขาได้ประโยชน์เมื่อเร็วๆ นี้จากสัญญาสัมปทานการก่อสร้างขนาดใหญ่ๆ หลายโครงการ อาทิ งานสร้างถนนหนทางในจังหวัดเชียงใหม่ จึงมีโอกาสที่จะเติบใหญ่เพิ่มบารมีความสำคัญทางการเมือง และสามารถกลายเป็นตัวชี้ขาดว่า พปช. หรือพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นฝ่ายค้าน ใครจะได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลผสมชุดต่อไป

ขณะที่ดำรงตำแหน่งอยู่นั้น พ.ต.ท.ทักษิณขึ้นชื่อลือชาในเรื่องการเลือกเลื่อนพวกสมาชิกในตระกูลของเขาให้ขึ้นสู่ตำแหน่งแห่งอำนาจ คราวที่ก่อให้เกิดการโต้แย้งกันอย่างรุนแรงที่สุด เห็นจะเป็นครั้งที่เขาแต่งตั้งให้ลูกพี่ลูกน้องของเขา พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ขึ้นนั่งเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบกอันใครๆ ก็ปรารถนาเมื่อปี 2546 แซงหน้านายทหารหลายต่อหลายคนที่เด่นล้ำเหนือเขาในด้านศักดิ์ศรีและในความอาวุโส ความเคลื่อนไหวคราวนั้นเองได้สร้างความไม่เห็นพ้องคุกรุ่นขึ้นในหมู่ทหาร และมีส่วนทำให้เกิดความโกรธเกรี้ยวในระดับนายทหารระดับสูง ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งในการรัฐประหารยึดอำนาจของฝ่ายทหารเมื่อปี 2549

พ.ต.ท.ทักษิณยังได้เลื่อนชั้นน้องสาว นั่นคือ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ภริยาของนายสมชาย ซึ่งเจ้าตัวยอมรับเองว่าเป็นมือใหม่ทางการเมือง ให้ขึ้นเป็นหัวหน้ามุ้งๆ หนึ่งภายในพรรคไทยรักไทยที่กลายเป็นอดีตไปแล้วของเขา เพื่อถ่วงดุลกับอิทธิพลของผู้ทรงอำนาจบารมีในตอนนั้นอย่างนายเสนาะ เทียนทอง ที่เวลานี้กลายมาเป็นหัวหน้าพรรคเล็กๆ ซึ่งมี ส.ส.แค่ 5 คนภายในคณะรัฐบาลผสมชุดปัจจุบัน เขายังได้ใช้สอยนายสมชายที่ตอนนั้นเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม ในบทบาทที่สร้างความกังขาซึ่งส่งผลในทาง “แบ่งแยกแล้วปกครอง” ทำนองเดียวกัน

ทั้งนี้นายสมชายได้เกิดความขัดแย้งเรื่องงบประมาณของกระทรวงยุติธรรมในปี 2546 กับดาวเด่นพุ่งแรงของพรรคไทยรักไทยและเป็นรัฐมนตรียุติธรรมในขณะนั้น นั่นคือ ร.ต.อ.ปุราชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ผู้ซึ่งตอนที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทยเมื่อ 2 ปีก่อนหน้านั้น ได้ริเริ่มการรณรงค์ “จัดระเบียบสังคม” ซึ่งมีลักษณะเชิงศีลธรรมและได้รับความนิยมอย่างยิ่ง การรณรงค์ดังกล่าวนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะบรรเทาด้านเถื่อนๆ ทั้งหลายของกรุงเทพฯให้บันยะบันยังลงมา อีกทั้งยังเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณกำลังติดหล่มเผชิญกับความลำบากทางด้านกฎหมายคดีความ

ปรากฏว่า พ.ต.ท.ทักษิณเข้าข้างนายสมชายในประเด็นงบประมาณคราวนั้น และในเวลาต่อมา ร.ต.อ.ปุราชัยผู้ตรงไปตรงมาเป็นไม้บรรทัด ก็ถูกโยกย้ายออกจากกระทรวงยุติธรรม และภายหลังนั่งตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีอยู่พักเดียว ก็ได้อำลาวงการเมืองไปเลย

เป็นที่คาดหมายกันว่ารัฐบาลของนายสมชายจะอยู่ไปอย่างน้อยจนกระทั่งสามารถผ่านร่างพระราชบัญญัติงบประมาณแผ่นดินฉบับใหม่ ซึ่งพวกนักวิพากษ์วิจารณ์ก็กล่าวหากันเรียบร้อยแล้วว่า เป็นร่างกฎหมายงบประมาณที่จัดวางกันขึ้น โดยส่วนหนึ่งก็เพื่อสร้างสมกองทุนทำศึกให้แก่เหล่าพรรคร่วมรัฐบาล ตลอดจนเพิ่มพูนชื่อเสียงความเป็นประชานิยมของพรรคพลังประชาชนในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคราวต่อไป จากการที่สถานการณ์ทางการเงินของ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ในสภาพไม่แน่นอน กฎหมายงบประมาณแผ่นดินฉบับนี้จึงกลายเป็นจุดสำคัญในการต่อรองกัน ระหว่าง พปช. กับพรรคร่วมรัฐบาลอีก 5 พรรค ทั้งนี้ตามคำบอกเล่าของบุคคลวงในทางการเมืองผู้หนึ่ง

พวกฝ่ายค้านทางการเมืองกำลังจับจ้องด้วยความระแวงสงสัยอยู่แล้ว เกี่ยวกับการจัดทำโครงการชลประทานขนาดใหญ่ในภาคอีสานของประเทศ ตลอดจนสิ่งที่กล่าวหากันว่าเป็นการบริหารจัดการอย่างผิดพลาด ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งพวกพันธมิตรของทักษิณยึดครองบรรดาตำแหน่งผู้นำระดับสูงเอาไว้ ความระแวงสงสัยเหล่านี้อีกไม่นานน่าจะเปล่งแสงร้อนรุ่มออกมา บนเวทีประท้วงที่มีการถ่ายทอดออกอากาศทางโทรทัศน์ทั่วประเทศของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นักวิเคราะห์จำนวนมากแสดงความกังวลว่า การแต่งตั้งนายสมชายเป็นนายกรัฐมนตรีจะกลายเป็นการเติมพลังและอาจจะช่วยเพิ่มระดับกิจกรรมการประท้วงของกลุ่มพันธมิตร

พิจารณาลงไปในระดับพื้นฐานให้มากขึ้น การแต่งตั้งนายสมชายย่อมสาธิตให้เห็นถึงการขาดความศรัทธา ในความสามารถที่จะผงาดขึ้นเป็นผู้ปกครองของเขตเลือกตั้งในชนบทภาคอีสาน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณและ พปช.ถูกระบุว่าพยายามวางตนเป็นตัวแทน ผ่านทางหลักนโยบายมุ่งสนับสนุนคนยากจนของพวกเขา ดังจะเห็นได้ว่า ผู้ที่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้เข้าแข่งขันชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พปช. ทั้ง 3 คน ซึ่งนอกจากนายสมชายแล้ว ยังประกอบด้วย รัฐมนตรีคลัง น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี และรัฐมนตรียุติธรรม นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ล้วนแล้วแต่มาจากแวดวงอันลงหลักปักฐานอย่างมั่นคงในกรุงเทพฯ ไม่ใช่จากจังหวัดยากจนรอบนอก ที่อดีตนายกรัฐมนตรีประชานิยมมุ่งหมายที่จะเข้าครอบครองจิตใจ

อาการแบบน่าเย้ยหยันทำนองเดียวกันนี้ ก็ปรากฏให้เห็นอีกจากการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทาบทามดึงตัวนายสมัคร อดีตผู้ว่าการกรุงเทพมหานครซึ่งไม่มีฐานสนับสนุนในต่างจังหวัด ให้เป็นผู้นำพรรคพลังประชาชนที่เพิ่งรวมตัวกันขึ้นมาใหม่ ความเคลื่อนไหวคราวนี้ยิ่งส่งผลเสียหายเมื่อนายสมัครทำเฉยเมยต่อคะแนนเสียงของกลุ่มอีสานของพรรค ด้วยการไม่เอาพวกเขาเข้าร่วมในกระบวนการตัดสินใจสำคัญๆ และเวลานี้ก็ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า นายสมชายซึ่งเป็นคนสงบเสงี่ยมอีกทั้งเป็นมือใหม่ทางการเมือง จะสามารถรับมือได้หรือไม่กับสภาพที่พรรคกำลังมีการแตกขั้วอำนาจกันอย่างสูงในปัจจุบัน

ขณะเดียวกัน ก็ไม่เป็นที่คาดหมายกันว่าเขาจะสามารถมีอิทธิพลบารมีอะไรมากมายภายในกองทัพ รวมทั้งต่อ พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งเป็นหนึ่งในนายทหารที่ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจขับไล่ทักษิณในปี 2549 อีกทั้งเป็นที่ทราบกันดีในเรื่องความจงรักภักดีอย่างมั่นคงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

ก่อนที่จะมีการแต่งตั้งนายสมชายเป็นนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงศ์ได้เคยเสนอให้จัดตั้งรัฐบาลสามัคคีแห่งชาติ ซึ่งน่าจะรวมเอาพรรคฝ่ายค้านอย่างประชาธิปัตย์เข้ามาด้วย เพื่อเป็นหนทางรอมชอมให้สามารถก้าวพ้นออกจากหล่มลึกทางการเมืองที่เป็นอยู่ ทว่า พปช.กลับยังคงยืนกรานขึ้นปกครองประเทศ โดยอาศัยอาณัติความชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตยของตน

และด้วยเหตุดังนั้น เราจึงยังคงมองไม่เห็นจุดยุติของความยุ่งยากวุ่นวายทางการเมืองในประเทศไทย

ชอว์น ดับเบิลยู คริสพิน เป็นบรรณาธิการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเอเชียไทมส์ออนไลน์ สามารถติต่อเขาได้ที่ swcrispin@atimes.com
กำลังโหลดความคิดเห็น