xs
xsm
sm
md
lg

สงครามเย็น “ไทย-กัมพูชา” เกมวางยา “กษิต” จากคนใน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กษิต ภิรมย์
หากไม่มีอะไรพลิกผันหรือเกมเปลี่ยน คาดกันว่าไม่เกินวันพุธที่ 9 ธันวาคม 52 คดีจับวิศวกรไทย ฐานความผิดเป็น “สายลับทำลายความมั่นคง” ของรัฐบาลกัมพูชาจะได้ข้อยุติ

เนื่องเพราะมีการยืนยันว่า ในวันอังคารนี้ (8 ธันวาคม) ศาลกัมพูชาจะตัดสินคดีนี้แล้ว และจะทำให้ไม่เกินสัปดาห์นี้ เป็นไปได้สูงที่นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ ผู้ต้องหาที่ถูกกล่าวหาจารกรรมข้อมูลตารางการบินของ นช.ทักษิณ ชินวัตร

จะได้เดินทางกลับไทยเพื่อมาบวชตามความปราราถนาของมารดา สิมารักษ์ ณ นครพนม ที่ได้ดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกชายได้กลับสู่อ้อมอก หลังจากต้องถูกจองจำไร้อิสรภาพในคุกที่กัมพูชานานหลายสัปดาห์

ทางออกของเรื่องนี้ในทางคดีแล้ว คงหนีไม่พ้น 2 แนวทาง

แนวทางที่หนึ่ง ศาลกัมพูชายกฟ้อง เพราะไม่พบหลักฐานความผิดตามที่ถูกควบคุมตัวในข้อหาจารกรรมข้อมูลตารางการบินของ นช.ทักษิณ ที่เดินทางเข้ากัมพูชาไปให้กับเจ้าหน้าที่สถานทูตไทยในกัมพูชา

ความเป็นไปได้ที่ศาลเขมรจะยกฟ้อง วิเคราะห์กันตามตรง บนทฤษฎีการเมืองที่ฮุนเซน ปกครองกัมพูชาแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทั้งการเมือง ทหาร รวมถึงตุลาการมายี่สิบกว่าปี ซึ่งนักวิชาการระหว่างประเทศหลายคนยืนยันตรงกันว่า

ระบบศาลกัมพูชาไม่ได้มีอิสระอย่างแท้จริง แต่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของฮุนเซน มานานแล้ว

ดังนั้น หากศาลกัมพูชายกฟ้อง บอกว่ารัฐบาลฮุนเซนจับกุมตัววิศวกรไทยไปขังไว้นานหลายสัปดาห์จนทำให้สูญสิ้นอิสรภาพ และเสียชื่อเสียงหน้าที่การงานโดยเป็นการแจ้งข้อหาเท็จ

นั่นหมายความว่า เครดิตรัฐบาลฮุนเซนที่เป็นรัฐบาลเผด็จการ มีแต่คนในครอบครัวและคนใกล้ชิดกุมอำนาจไว้หมดทุกส่วน ได้ทำการ “ยัดเยียดข้อหา” ให้แก่คนไทยผู้บริสุทธิ์อย่างผิดพลาด

หากเป็นเช่นนี้ ฮุนเซนจะต้องเสียหายทางการเมืองภายในประเทศ และต่างประเทศอย่างรุนแรง และเครดิตการเมือง-กระบวนการยุติธรรมของกัมพูชา จะถูกด่าไปทั่วสารทิศ ทั้งที่รัฐบาลไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศ ได้พยายามต่อสู้เพื่อชี้แจงข้อกล่าวหาเรื่องนี้มาโดยตลอดผ่านวิธีการทูตของไทยกับกัมพูชา และกดดันผ่านสื่อต่างประเทศ แต่กัมพูชาก็ได้ตอบโต้อย่างรุนแรงกลับมา โดยยืนกรานว่ามีพยานหลักฐานที่ชัดเจนในการเอาผิดกับศิวรักษ์ได้

โอกาสที่ศาลจะยกฟ้อง ถามว่ามีโอกาสเกิดขึ้นไหม บอกได้ว่า 50-50 แต่ขึ้นอยู่กับว่าฮุนเซน จะโอเคด้วยหรือไม่!


แนวทางที่ 2 คือ ศาลตัดสินว่ามีความผิด ซึ่งส่วนใหญ่แม้แต่ตัวมารดาศิวรักษ์ และทีมทนายความ รวมถึงอาจแม้แต่ตัว ศิวรักษ์ ที่วันนี้อาจต้องยอมกลายเป็นบุคคลต้องห้ามเข้าประเทศกัมพูชา เป็นการถาวร ก็มองมาที่ทางออกนี้แล้ว และพร้อมยอมรับคำตัดสินในทางนี้ จึงทำให้ท่าทีระยะหลังเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

ตั้งแต่การปฏิเสธแนวทางการสู้คดีตามช่องทางความช่วยเหลือจากกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะความเป็นพลเมืองไทย แต่กลับวางน้ำหนักแห่งการรอดพ้นคุกเขมรมาที่การต่อสู้

ผ่านช่องทางการเมืองคือ “นช.ทักษิณ-เพื่อไทย-พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ซึ่งรู้กันดีว่ามีสายสัมพันธ์อันดียิ่งกับฮุนเซน เป็น “ความหวังสูงสุด”

จากนั้นก็ทำการถอนประกันตัวลูกชาย และเปลี่ยนตัวทนายความอย่างกระทันหัน จากเกา โสภา ซึ่งเป็นทนายที่คนเขมรรู้กันดีว่า มักทำคดีให้กับฝ่ายตรงข้ามของฮุนเซนมาตลอด มาเป็น เขียว สัมโบ แถมยังประกาศจะไม่ขออุทธรณ์ หากถูกศาลตัดสินว่ามีความผิด

แต่จะยื่น “ขอพระราชทานอภัยโทษ” กับผู้นำสูงสุดกัมพูชาทันที โดยมีพล.อ.ชวลิต เป็นที่ปรึกษาใหญ่ในเรื่องนี้ให้ทั้งหมด จน บิ๊กจิ๋ว กล้าการันตีว่าไม่เกิน 10 ธ.ค.นี้ ศิวรักษ์จะได้อิสรภาพ

เรื่องแบบนี้หากไม่รู้ข้อมูลภายในกันก่อนล่วงหน้า มีหรือบี๊กจิ๋วจะกล้าออกมาการันตีเช่นนี้

คดี “สายลับแห่งชาติ” ที่กำลังถูกมองว่าเป็น “การจัดฉากสร้างฮีโร่” ให้กับทักษิณ-บิ๊กจิ๋ว-เพื่อไทย โดยฮุนเซน ยอมรับบทผู้ร้าย จะออกมาทางไหนในสองทางนี้ อีกไม่เกิน 3 วัน จะมีคำเฉลยออกมา

แต่ผลพวงของเรื่องนี้ เมื่อมองย้อนกลับมาที่รัฐบาลโดยเฉพาะความเป็นเอกภาพ และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของแกนนำรัฐบาล ในสายงานด้านความมั่นคงคือ สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงและพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม

เห็นได้ชัดว่านอกจากจะ “เกียร์ว่าง” แล้ว ยังคิดและตัดสินใจผิดพลาด จากเดิมที่ต้องการปล่อยเรื่องนี้ให้ กษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ แก้ไขปัญหาไปโดยลำพัง โดยที่ สุเทพ-ประวิตร รู้ดีว่า ยากที่กษิตจะเอาตัวศิวรักษ์กลับไทยโดยเร็วได้ ภายใต้กระบวนการปกติ

เพราะแค้นของฮุนเซนที่มีต่อ กษิตนั้นฝังลึกมาก จากปัญหาเรื่องเขาพระวิหาร และคำประณามว่าเป็น “กุ๊ยข้างถนน” จึงย่อมทำให้เขมรต้องปฏิเสธทุกแนวทางที่บัวแก้ว พยายามจะช่วยศิวรักษ์

แต่กลับพบว่าทั้ง สุเทพ-ประวิตร ที่พูดคุยกันได้กับฮุนเซน และเตียบันห์ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหมของเขมร กลับไม่คิดจะยื่นมือมาช่วยกษิต อีกแรงหนึ่ง


จนมีเสียงวิจารณ์กันถึงความไม่เต็มที่ของทั้งสองคนว่า เป็นเพราะเหตุใด ทั้งที่สามารถทุ่มเทได้มากกว่านี้ หรือเป็นเพราะมีเรื่องการเมืองภายในรัฐบาลอยู่เบื้องหลัง ผสมกับไม่คิดว่าแม่ศิวรักษ์ จะเล่นเดินเกมเองทั้งหมด ด้วยการวิ่งเข้าพรรคเพื่อไทยขอความช่วยเหลือจาก นพดล ปัทมะ ที่เป็นทั้ง อดีตรมว.ต่างประเทศ และหัวหน้าสำนักงานทนายความ ที่เชี่ยวชาญเรื่องคดีต่างประเทศ รวมถึงขอความช่วยเหลือกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ-พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ อดีตรองปลัดกลาโหมฯ ที่สัมพันธ์แนบแน่นกับฮุนเซน ถึงที่ทำการพรรคเพื่อไทย

ชนิดไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด คือ “ละครที่มีการเขียนบทไว้ล่วงหน้า”

เพื่อจัดฉากให้ฝ่ายทักษิณได้หน้า และดิสเครดิตรัฐบาล

ส่งผลให้ความคิดของคนในรัฐบาลอภิสิทธิ์ บางคนที่ต้องการใช้เรื่องนี้วางยาเพื่อเอา กษิต ออกจากตำแหน่ง เพื่อสร้างความพอใจให้กับฮุนเซน จะได้มาเจรจาเรื่องขุมทรัพย์ในอ่าวไทยมูลค่าหลายแสนล้านบาทกันต่อ อีกทั้งยังขจัดเสี้ยนหนามในรัฐบาล เพราะเห็นว่ากษิต ใกล้ชิดกับกลุ่มพันธมิตรฯมากเกินไป และนโยบายการต่างประเทศของ กษิต หลายอย่างก็ไม่เป็นที่สบอารมณ์ของ “ขั้วอำนาจสายความมั่นคง”

เช่นนโยบายเรื่องการทูตกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยอิงสหรัฐอเมริกามากเกินไป อันขัดแย้งกับแนวทางของบิ๊กๆ ในกองทัพ

แต่สุดท้ายเมื่อเจอ “พลังรักจากแม่ถึงลูก” ที่คนในรัฐบาลหลายคนประเมินสถานการณ์ผิดพลาด มันเลยทำให้เรื่องนี้กลายเป็นว่า แทนที่กษิต จะเสียเครดิสเพียงคนเดียว กลับกลายเป็นว่า รัฐบาลกำลังเพลี่ยงพล้ำ และถูกคนในสังคมที่ส่วนใหญ่มองเรื่องนี้แบบผิวเผิน ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบาง หน้าฉาก-หลังฉาก ของเรื่องทั้งหมด เห็นว่าขนาดคนไทยเพียงคนเดียว รัฐบาลยังช่วยเหลือไม่ได้ ต้องให้ ทักษิณ-บิ๊กจิ๋ว-เพื่อไทย ที่เป็นฝ่ายค้าน ลงมาช่วยเหลือเป็นธุระให้ทุกอย่าง ตั้งแต่ออกจากสนามบิน จนถึงวันที่ศิวรักษ์ พ้นคุกเขมร

แล้วแบบนี้จะมีรัฐบาลเอาไว้หาพระแสงอะไร นี่คือสิ่งที่คนไทยจำนวนมากกำลังคิดแบบนี้ !

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้ ก็คือ สัมพันธ์การทูตไทย-กัมพูชา ที่ต้องยอมรับว่า ยามนี้อยู่ในสภาพ

รั้วบ้านติดกัน แต่คบกันแบบระแวง

และอิสรภาพของศิวรักษ์ ซึ่งคนไทยทุกคนต่างเอาใจช่วยให้เขาได้กลับแผ่นดินเกิดโดยเร็วที่สุด จะต้องเป็นการบ้านสำคัญของกระทรวงต่างประเทศที่จะต้องป้องกันไม่ให้เกิดเหตุ เขมรจับคนไทยแบบ “ยัดเยียดข้อหาความผิด” ให้โดยไม่มีหลักฐาน แต่ต้องการความสะใจอย่างที่เกิดขึ้นกับศิวรักษ์อีก

เพราะไม่เช่นนั้นวันดีคืนดี เกิดรัฐบาลทะเลาะกับฮุนเซน แล้วกัมพูชาไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร ก็ไปจับคนไทยที่ไปเล่นการพนันในเขมร หรือคนไทยที่ไปเที่ยวชมนครวัต-นครธม แล้วบอกว่าเป็นพวกทำลายความมั่นคงชาติ จับไปยัดคุกเขมรแล้วศาลสั่งว่ามีความผิดต้องไปทำงานสร้างถนน-สร้างเขื่อนในกัมพูชา แบบนี้รับรองว่า

สงครามไทย-เขมร เกิดขึ้นแน่นอน

อย่าคิดว่าเรื่องแบบนี้ เป็นเรื่องพูดกันเล่นๆ เพราะมันพร้อมจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ในยามที่สัมพันธ์ไทย-กัมพูชา เข้าสู่สถานการณ์ “สงครามเย็น” เต็มรูปแบบแล้วในตอนนี้

ฮุนเซน
กำลังโหลดความคิดเห็น