เอเอฟพี - ร้านค้าเล็กๆ ของฝรั่งเศสซึ่งขายสินค้าขึ้นชื่ออย่างขนมปังบาแกตต์,ไก่อบ รวมทั้งเป็นแหล่งรวมรองเท้าแปลกๆ กำลังรวมตัวรบกับกฎหมายใหม่ของรัฐบาลที่จะอนุญาตให้เปิดร้านซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นได้
กฎหมายที่ว่าด้วย "การทำให้เศรษฐกิจทันสมัย" ซึ่งกำหนดเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาภายในสัปดาห์นี้ ได้รับการอธิบายจากรัฐบาลของประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โคซีส์ว่า เป็นหนทางที่จะเปลี่ยนแปลงตลาดค้าปลีกที่ถูกกฎหมายควบคุมอย่างเข้มงวดมากเกินไป รวมทั้งทำให้มีการแข่งขันเพิ่มมากขึ้นเพื่อดึงราคาสินค้าให้ถูกลง
ผู้ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายฉบับนี้ส่วนหนึ่งก็คือสมาชิกพรรคของซาร์โกซีส์เอง ท่ามกลางการล็อบบี้อย่างหนักของกลุ่มเจ้าของร้านที่เตือนว่าจะเป็นการทำลายธุรกิจรายย่อย ซึ่งได้รับการมองว่ามีบทบาทสำคัญต่อวิถีชีวิตของฝรั่งเศสตามเมืองเล็กๆ รวมทั้งย่านต่างๆ ในเขตเมืองใหญ่ด้วย
"หากว่ากฎหมายบังคับใช้ได้ เราวิตกว่าจะมีผลต่อการอยู่รอดของร้านขนาดเล็กในฝรั่งเศส เพราะต้องเผชิญกับการแข่งขันอย่างรุนแรงจากผู้ค้าปลีกรายใหญ่ และพวกเราจะไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้หากว่ามีซูเปอร์มาร์เก็ตอยู่ทั่วทุกหัวระแหง" เป็นคำแถลงของ ฌอง-อูเดส ดู เมสนิล เลขาธิการของกลุ่มซีจีพีเอ็มดีของธุรกิจขนาดกลางและเล็ก
สาระสำคัญของกฎหมายใหม่ก็คือซูเปอร์มาร์เก็ตที่ขนาดเล็กกว่า 1,000 ตารางเมตรสามารถเปิดได้โดยไม่ต้องขออนุญาตสำนักงานผังเมือง ซึ่งเปลี่ยนจากในปัจจุบันที่กำหนดว่า ต้องเล็กกว่า 300 ตารางเมตร จึงจะไม่ต้องขออนุญาต
รัฐบาลแย้งว่ามาตรการใหม่นี้จะทำให้ร้านขายของลดราคา เข้ามามีส่วนแบ่งตลาดค้าปลีกในฝรั่งเศสเพิ่มมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาถูก
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐมนตรีกิจการผู้บริโภค ลุค ชาเตลได้ทำการเปรียบเทียบราคาสินค้าในร้านค้าของฝรั่งเศสและเยอรมนี และพบว่าสินค้าที่มีขายเหมือนๆ กันอย่างเช่น โซปิเกต์ ทูน่า,ช็อคโกแลตคินเดอร์ และครีมทามือนีเวีย ราคาในเยอรมนีถูกว่าถึง 14 เปอร์เซ็นต์
ในระหว่างการเยี่ยมชมโรงงานโยเกิร์ตตอนกลางของฝรั่งเศส ซาร์โกซีก็ได้กล่าวปกป้องกฎหมายใหม่นี้ว่ามันไปด้วยกันได้กับลัทธิบริโภคนิยมสมัยใหม่ของฝรั่งเศส
"ในปี 2008 เราไม่ได้ซื้อสินค้าเหมือนปี 1950 อีกต่อไปแล้ว" ซาร์โกซีกล่าว ก่อนหน้านี้เขาให้คำมั่นว่ารัฐบาลจะทำให้ราคาสินค้าลดลง 3 เปอร์เซ็นต์จากการประกาศใช้กฎหมายฉบับใหม่นี้
นอกจากนี้กฎหมายใหม่ก็จะทำให้ระบบการต่อรองราคาระหว่างผู้ค้าปลีกและผู้ค้าส่งนั้นซับซ้อนน้อยลง และจะส่งผลถึงกลุ่มธุรกิจรายย่อยรวมทั้งสหภาพชาวนาหรือ เอเอนซีอีเอ รวมทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารที่เรียกว่า อาเนีย โดยตรง
ผู้นำของกลุ่มธุรกิจเครือข่ายค้าปลีกขนาดยักษ์ห้าแห่งของฝรั่งเศสพยายามมานานที่จะบอกว่าระเบียบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั้น ต้องอยู่บนฐานของราคาค้าส่งซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาสินค้าอุปโภคในฝรั่งเศสแพงกว่าที่เยอรมนี
แต่ ฌาค แกร์โบลต์ รองประธานของสมาคมอาร์เอสไอ ของธุรกิจอิสระ กล่าวว่า "สิ่งที่รัฐบาลทำตอนนี้ก็คือเอากุญแจเข้าบ้านไปให้ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ถือไว้"
แกร์โบลต์ กล่าวอีกว่า ร้านค้าที่ครั้งหนึ่งเคยขายสินค้าในราคาที่ประชาชนซื้อหาได้กำลังถูกขจัดออกไป เพราะไม่สามารถจะแข่งขันกับพวกค้าปลีกขนาดยักษ์ที่เรียกกันว่า ไฮเปอร์มาร์เก็ตได้นับตั้งแต่ธุรกิจเหล่านี้เริ่มขึ้นในช่วงทศวรรษ 1980 และตอนนี้ก็เหลือแก่ร้านค้าขายอาหารพิเศษที่มีราคาแพงเท่านั้น
ข้อมูลของซีจีพีเอ็มอีกล่าวว่าตอนนี้ครึ่งหนึ่งของเมืองหรือชุมชนขนาดเล็กๆ ที่มีอยู่ 36,000 แห่งทั่วฝรั่งเศส ไม่มีร้านค้าอิสระบนถนนสายหลักของเมืองอีกต่อไปแล้ว ร้านค้าเล็กๆ ที่มีทั้งขายเนื้อสัตว์,อบขนมปังและทำชีสซึ่งเคยอยู่บนถนนเหล่านั้นต้องปิดตัวไปตามๆ กัน และมีสำนักงานธนาคาร บริษัทประกันภัย รวมทั้งนายหน้าจัดหางานก็เข้ามาแทนที่
ส่วนข้อมูลของอาร์เอสไอก็บอกว่า 1 ใน 3 ของร้านขายอาหารขนาดเล็กต้องปิดตัวลงในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
ดู เมสนิล บอกว่า "เมื่อร้านขนาดเล็กหายไปหมด ทุกอย่างก็จบ เพราะเราไม่สามารถทำให้ร้านเหล่าฟื้นจากความตายได้เลย"