เอเจนซีส์ – เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่วอลล์สตรีท แถลงในวันอาทิตย์ (16) ที่นิวยอร์ก ซึ่งตรงกับตอนเช้าวันนี้ในเมืองไทยว่า จะเข้าซื้อแบร์สเติร์นส์ วาณิชธนกิจคู่แข่ง ซึ่งกำลังตกอยู่ในฐานะลำบาก ในราคาเพียง 2 ดอลลาร์ต่อหุ้น ด้วยวิธีแลกหุ้นกันล้วนๆ อันเท่ากับตีมูลค่าแบร์สเติร์น ที่มีฐานะเป็นวาณิชธนกิจใหญ่สุดเป็นอันดับ 5 ของสหรัฐฯ เหลือแค่ราว 236 ล้านดอลลาร์
ตามข้อตกลงคราวนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเข้ามาช่วยสนับสนุนทางการเงินเป็นพิเศษ นอกจากนั้นยังได้ตกลงที่จะอัดฉีดเงินทุนซึ่งอาจจะสูงถึง 30,000 ล้านดอลลาร์ ให้แก่แบร์สเติร์นส์ ซึ่งประสบปัญหาขาดแคลนสินทรัพย์สภาพคล่อง
เมื่อตอนปิดตลาดนิวยอร์กวันศุกร์ (14) ที่ผ่านมา แบร์สเติร์นส์ยังมีค่าหุ้นละ 30 ดอลลาร์ โดยตอนที่เคยไต่ขึ้นระดับสูงที่สุดนั้น หุ้นตัวนี้เคยซื้อขายกันในระดับกว่า 159 ดอลลาร์ต่อหุ้น
เจพีมอร์แกน กล่าวในคำแถลงว่า จะแลกหุ้นของตนเองด้วยสัดส่วน 0.05473 หุ้นต่อ 1 หุ้นของแบร์สเติร์นส์ ขณะเดียวกันก็จะค้ำประกันสัญญาผูกพันทางการค้าทั้งหลายของแบร์สเติร์นส์ตลอดจนกิจการในเครือ
ทุนสำรองเงินสดของแบร์สเติร์นส์เหือดหายไปอย่างรวดเร็ว โดยลูกค้าพากันแตกตื่นแห่ถอนการลงทุนออกมาเมื่อวันพฤหัสบดี (13) และพอวันศุกร์ วาณิชธนกิจซึ่งขึ้นชื่อเรื่องนวัตกรรมทางการเงินและความกล้าเสี่ยงแห่งนี้ ก็ต้องขอสนับสนุนเงินทุนฉุกเฉินจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งให้ผ่านทางเจพีมอร์แกน
ซีอีโอของแบร์สเติร์นส์ อลัน ชวาร์ตซ์ กล่าวในคำแถลงอีกฉบับหนึ่งว่า ข้อตกลงให้ เจพีมอร์แกนเข้ามาเทกโอเวอร์ เป็น “ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่จะให้กับบรรดาผู้มีสิทธิมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจการของเราทั้งหมด เมื่อพิจารณาถึงสภาพการณ์ในปัจจุบัน”
การที่เฟดและรัฐบาลสหรัฐฯ รีบเร่งให้ความเห็นชอบกับข้อตกลงคราวนี้ ทำให้นักวิเคราะห์ชี้ว่า ทางการผู้รับผิดชอบของสหรัฐฯ กำลังมองว่า สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจจนกระทั่งต้องเร่งให้การเทคโอเวอร์นี้จบลงก่อนที่ตลาดสำคัญๆ ในโลกจะเปิดทำการ
อย่างไรก็ตาม สัญญาณบ่งชี้ช่วงแรกๆ กลับแสดงให้เห็นว่าตลาดการเงินโลกยังคงหวาดวิตกเรื่องเสถียรภาพของภาคการเงินและเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นทรุดลงกว่า 3% ตอนเช้าวันนี้ ขณะที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าทำสถิติใหม่เมื่อเทียบกับเงินยูโร, ส่วนทองคำในตลาดเอเชียก็พุ่งทะลุขึ้นไปสู่ระดับสถิติสูงสุดใหม่แถวๆ 1,015 ดอลลาร์ต่อออนซ์
