พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า เบื้องหลังการเสด็จสวรรคต ของในหลวง ร.8
เมื่อ 2 วันมานี้ เป็นวันครบรอบ 77 ปีของการเสด็จสวรรคตของ ในหลวง ร.8 จึงมีการวิจารณ์เรื่องกรณีสวรรคตของ
ในหลวง ร.8 ว่า “ทรงสิ้นพระชนม์จากสาเหตุใด” มากหน่อย ซึ่งก็เป็นเช่นนี้มาทุกปี
ผมจึงขอสรุปเหตุผลที่ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า “พระองค์สวรรคต เนื่องจากการถูกลอบปลงพระชนม์” ไม่ใช่ทรงทำพระแสงปืนลั่นเองอย่างแน่นอน
1.เมื่อคณะแพทย์ ดูจากหลักฐานในที่เกิดเหตุ และผ่าพิสูจน์พระบรมศพแล้ว จึงลงความเห็นว่า การสวรรคต น่าจะมีสาเหตุมาจากการลอบปลงพระชนม์ ซึ่งมีแพทย์ชาวต่างชาติรวมอยู่ด้วย
(ต่อมา แพทย์หลายคนได้ถูกคุกคามจากรัฐบาล)
2.นายบุศย์ นายชิต มหาดเล็ก ซึ่งเป็นผู้ต้องหานั่งอยู่หน้าห้อง
พระบรรทมทั้งคู่ในขณะที่เสียงปืนดังขึ้น ดังนั้น ใครจะเข้าออกห้องพระบรรทม ทั้ง 2 คนจะต้องเห็นแน่นอน นายชิตให้การครั้งแรก ต่อสมเด็จพระราชชนนี ว่าเห็นในหลวง ทรงพระแสงปืนยิงพระองค์เอง พร้อมกับแสดงท่าทางประกอบอีกด้วย และในวันนั้นนายชิตยังให้การลักษณะเดียวกันต่อนายปรีดี และผู้ใหญ่อีกหลายคน เหมือนเดิมซ้ำอีก จนเป็นผลทำให้รัฐบาลออกแถลงการณ์ถึงสาเหตุการเสด็จสวรรคตผิดพลาดไปตามที่นายชิตอ้างว่าเห็น แต่พอวันรุ่งขึ้น นายชิตได้กลับคำรับสารภาพว่า”ไม่เห็นคิดเอาเอง”
เมื่อคดีถึงศาล ผู้ต้องหาทั้งคู่ ให้การในระยะแรกสอดคล้องกับแพทย์
ว่า “น่าจะเป็นการถูกลอบปลงพระชนม์” เช่นกัน
ต่อมาผู้ต้องหาทั้งสองได้ให้การมีพิรุธ มากกว่า10เรื่อง และขัดแย้งกันเองทั้งๆที่นั่งอยู่ด้วยกัน จนกระทั่งใกล้เวลาตัดสินคดีของศาล ทั้งคู่กลับคำสารภาพยอมรับ ซัดทอดกันเองว่าอีกคนหนึ่ง
น่าจะเป็นคนนำ บุคคลภายนอกเข้ามาลอบสังหาร
3.ส่วนตำรวจ และมหาดไทย ได้พยายามทำเรื่องให้กลายเป็น
ประเด็นว่า “พระองค์ทรงยิงพระองค์เอง” หลายครั้ง ถึงขั้นที่ รมว.มท เข้ามาเป็นพยานช่วยผู้ต้องหาในชั้นศาล และยังช่วยชะลอเวลาในการดำเนินคดีให้ล่าช้า รวมไปถึงการข่มขู่หนังสือพิมพ์
หรือบุคคลที่เห็นว่า การเสด็จสวรรคต มาจากการถูกลอบสังหาร
ซึ่งไม่ตรงกับความต้องการของรัฐบาล
4.นอกจากนั้นยังมีข้อพิรุธ จากการดำเนินงานของรัฐบาลในเรื่องความหย่อนยานของการ รปภ. ภายในพระบรมมหาราชวัง และการถวายความปลอดภัยองค์พระมหากษัตริย์ มีมากจนผิดสังเกตุ เช่น เลื่อนตำแหน่ง
นายเฉลี่ยวอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เข้ามาควบคุมพระบรมมหาราชวังทั้งหมด
ต่อมา นายเฉลียวได้แสดง พฤติการณ์ที่ไม่เหมาะ เป็นที่ประจักษ์หลายประการ เช่น การไม่แสดงความเคารพ ร.8ขณะที่นำหนังไปให้ลงพระนาม การเอารถพระที่นั่งของในหลวง ร.8 ไปใช้ หรือ
รถที่จะถวายให้ในหลวง ร.8 ทรงขับระหว่างเสด็จจังหวัดชลบุรี ก็ไม่
ได้ตรวจสอบ จนทำให้ราชองค์รักษ์ที่ขับถวายประสบอุบัติเหตุถึงเสียชีวิต การส่งโขนหญิงมาคอยถวายงานสมเด็จพระราชชนนีอย่างใกล้ชิดเกินความจำเป็น จนพระองค์แทบไม่มีเวลาเป็นส่วนพระองค์ จนทำให้เวลาที่จะทรงพูดคุยเรื่องสำคัญทั้ง 3 พระองค์ต้องมีพระราชดำรัสเป็นภาษาฝรั่งเศส ฯลฯ
ในเรื่องส่วนพระองค์แล้ว ทรงมุ่งที่จะไปศึกษา จากนั้นจะทรงกลับมาประเทศไทยแน่นอน เพราะทรงผูกพันกับประชาชน จนเป็นที่ทราบกันทั่วไปทั้งในกลุ่มชาวไทยและ ชาวต่างชาติ ความรักของประชาชนที่มอบให้พระองค์มากมาย และคาดไม่ถึงนั้น ทำให้พระองค์แม้จะทรงประชวรก็จะไม่ละเลยพระราชกรณียกิจ เสด็จไปเยี่ยมประชาชนเสมอ เช่น การเสด็จสำเพ็ง การเสด็จไปปลูกข้าวที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
นอกจากนั้นก็มีหมายกำหนดการเสด็จตามคำเชิญ ของรัฐบาลสหรัฐฯและอังกฤษ ออกมาแน่นอนแล้ว เครื่องบินพระที่นั่งที่ทางอังกฤษจัดส่งมาเป็นพระราชพาหนะ ก็ถึงไทยแล้ว ทรงเตรียมตัวสำหรับการเลี้ยงส่งจากพ่อค้าประชาชนแล้ว ฯลฯ ดังนั้น พระองค์จึงไม่มีสาเหตุ ที่จะทรงพระแสงปืนยิงพระองค์เองอย่างแน่นอน
(รายละเดียดอ่านเพิ่มเติ่มได้จาก “หนังสือสยามยิ่งยง”)
พลโท นันทเดช / 12 มิ.ย.66
เมื่อ 2 วันมานี้ เป็นวันครบรอบ 77 ปีของการเสด็จสวรรคตของ ในหลวง ร.8 จึงมีการวิจารณ์เรื่องกรณีสวรรคตของ
ในหลวง ร.8 ว่า “ทรงสิ้นพระชนม์จากสาเหตุใด” มากหน่อย ซึ่งก็เป็นเช่นนี้มาทุกปี
ผมจึงขอสรุปเหตุผลที่ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า “พระองค์สวรรคต เนื่องจากการถูกลอบปลงพระชนม์” ไม่ใช่ทรงทำพระแสงปืนลั่นเองอย่างแน่นอน
1.เมื่อคณะแพทย์ ดูจากหลักฐานในที่เกิดเหตุ และผ่าพิสูจน์พระบรมศพแล้ว จึงลงความเห็นว่า การสวรรคต น่าจะมีสาเหตุมาจากการลอบปลงพระชนม์ ซึ่งมีแพทย์ชาวต่างชาติรวมอยู่ด้วย
(ต่อมา แพทย์หลายคนได้ถูกคุกคามจากรัฐบาล)
2.นายบุศย์ นายชิต มหาดเล็ก ซึ่งเป็นผู้ต้องหานั่งอยู่หน้าห้อง
พระบรรทมทั้งคู่ในขณะที่เสียงปืนดังขึ้น ดังนั้น ใครจะเข้าออกห้องพระบรรทม ทั้ง 2 คนจะต้องเห็นแน่นอน นายชิตให้การครั้งแรก ต่อสมเด็จพระราชชนนี ว่าเห็นในหลวง ทรงพระแสงปืนยิงพระองค์เอง พร้อมกับแสดงท่าทางประกอบอีกด้วย และในวันนั้นนายชิตยังให้การลักษณะเดียวกันต่อนายปรีดี และผู้ใหญ่อีกหลายคน เหมือนเดิมซ้ำอีก จนเป็นผลทำให้รัฐบาลออกแถลงการณ์ถึงสาเหตุการเสด็จสวรรคตผิดพลาดไปตามที่นายชิตอ้างว่าเห็น แต่พอวันรุ่งขึ้น นายชิตได้กลับคำรับสารภาพว่า”ไม่เห็นคิดเอาเอง”
เมื่อคดีถึงศาล ผู้ต้องหาทั้งคู่ ให้การในระยะแรกสอดคล้องกับแพทย์
ว่า “น่าจะเป็นการถูกลอบปลงพระชนม์” เช่นกัน
ต่อมาผู้ต้องหาทั้งสองได้ให้การมีพิรุธ มากกว่า10เรื่อง และขัดแย้งกันเองทั้งๆที่นั่งอยู่ด้วยกัน จนกระทั่งใกล้เวลาตัดสินคดีของศาล ทั้งคู่กลับคำสารภาพยอมรับ ซัดทอดกันเองว่าอีกคนหนึ่ง
น่าจะเป็นคนนำ บุคคลภายนอกเข้ามาลอบสังหาร
3.ส่วนตำรวจ และมหาดไทย ได้พยายามทำเรื่องให้กลายเป็น
ประเด็นว่า “พระองค์ทรงยิงพระองค์เอง” หลายครั้ง ถึงขั้นที่ รมว.มท เข้ามาเป็นพยานช่วยผู้ต้องหาในชั้นศาล และยังช่วยชะลอเวลาในการดำเนินคดีให้ล่าช้า รวมไปถึงการข่มขู่หนังสือพิมพ์
หรือบุคคลที่เห็นว่า การเสด็จสวรรคต มาจากการถูกลอบสังหาร
ซึ่งไม่ตรงกับความต้องการของรัฐบาล
4.นอกจากนั้นยังมีข้อพิรุธ จากการดำเนินงานของรัฐบาลในเรื่องความหย่อนยานของการ รปภ. ภายในพระบรมมหาราชวัง และการถวายความปลอดภัยองค์พระมหากษัตริย์ มีมากจนผิดสังเกตุ เช่น เลื่อนตำแหน่ง
นายเฉลี่ยวอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เข้ามาควบคุมพระบรมมหาราชวังทั้งหมด
ต่อมา นายเฉลียวได้แสดง พฤติการณ์ที่ไม่เหมาะ เป็นที่ประจักษ์หลายประการ เช่น การไม่แสดงความเคารพ ร.8ขณะที่นำหนังไปให้ลงพระนาม การเอารถพระที่นั่งของในหลวง ร.8 ไปใช้ หรือ
รถที่จะถวายให้ในหลวง ร.8 ทรงขับระหว่างเสด็จจังหวัดชลบุรี ก็ไม่
ได้ตรวจสอบ จนทำให้ราชองค์รักษ์ที่ขับถวายประสบอุบัติเหตุถึงเสียชีวิต การส่งโขนหญิงมาคอยถวายงานสมเด็จพระราชชนนีอย่างใกล้ชิดเกินความจำเป็น จนพระองค์แทบไม่มีเวลาเป็นส่วนพระองค์ จนทำให้เวลาที่จะทรงพูดคุยเรื่องสำคัญทั้ง 3 พระองค์ต้องมีพระราชดำรัสเป็นภาษาฝรั่งเศส ฯลฯ
ในเรื่องส่วนพระองค์แล้ว ทรงมุ่งที่จะไปศึกษา จากนั้นจะทรงกลับมาประเทศไทยแน่นอน เพราะทรงผูกพันกับประชาชน จนเป็นที่ทราบกันทั่วไปทั้งในกลุ่มชาวไทยและ ชาวต่างชาติ ความรักของประชาชนที่มอบให้พระองค์มากมาย และคาดไม่ถึงนั้น ทำให้พระองค์แม้จะทรงประชวรก็จะไม่ละเลยพระราชกรณียกิจ เสด็จไปเยี่ยมประชาชนเสมอ เช่น การเสด็จสำเพ็ง การเสด็จไปปลูกข้าวที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
นอกจากนั้นก็มีหมายกำหนดการเสด็จตามคำเชิญ ของรัฐบาลสหรัฐฯและอังกฤษ ออกมาแน่นอนแล้ว เครื่องบินพระที่นั่งที่ทางอังกฤษจัดส่งมาเป็นพระราชพาหนะ ก็ถึงไทยแล้ว ทรงเตรียมตัวสำหรับการเลี้ยงส่งจากพ่อค้าประชาชนแล้ว ฯลฯ ดังนั้น พระองค์จึงไม่มีสาเหตุ ที่จะทรงพระแสงปืนยิงพระองค์เองอย่างแน่นอน
(รายละเดียดอ่านเพิ่มเติ่มได้จาก “หนังสือสยามยิ่งยง”)
พลโท นันทเดช / 12 มิ.ย.66