xs
xsm
sm
md
lg

ลางดีลางร้ายในพงศาวดาร! หลวงพ่อโตวัดพนัญเชิงหลั่งน้ำพระเนตร กาบินมาเสียบยอดพระเจดีย์ตาย!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: โรม บุนนาค



โชคลาง เป็นความเชื่อในสังคมไทยมาแต่อดีต พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายของคำว่า “ลาง” ไว้ว่า “สิ่งหรือปรากฏการณ์ที่เชื่อกันว่าจะบอกเหตุดีหรือเหตุร้าย เช่น ผึ้งทำรังทางทิศตะวันออกของอาคาร เชื่อกันว่าเป็นลางดี แมงมุมตีอก เชื่อกันว่าเป็นลางร้าย”

ทั้งยังเชื่อกันว่า
จิ้งจกร้องทัก ห้ามออกจากบ้าน
ตาซ้ายกระตุก จะมีเคราะห์ แต่ถ้าตาขวากระตุก จะโชคดี
นกแสกเกาะหลังคาบ้าน จะเกิดลางร้าย
ถ้าตัวเงินตัวทองเข้าบ้าน ให้พูดแต่สิ่งดีๆ อย่าไปไล่ ถ้าไปเรียกว่าเหี้ยก็จะโชคร้าย

ถ้าช้อนชนกันในวงกินข้าว จะมีแขกมาหา
สาวโสดร้องเพลงในครัว จะได้ผัวแก่
ตัดผมวันพุธจะทำให้อัปมงคล
ออกจากบ้านให้ก้าวเท้าขวาออกก่อน จะมีโชคดีมีชัยไปตลอดวัน
เหล่านี้เป็นต้น

ในพงศาวดารก็บันทึกลางดีลางร้ายไว้มาก อย่างตอนที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจะไปทำศึกกับพระมหาอุปราชา พงศาวดารบันทึกไว้ว่า “...เมื่อเพลา ๑๐ ทุ่ม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสุบินนิมิตว่า น้ำนองท่วมป่ามาฝ่ายประจิมทิศ ลุยชลธีเที่ยวไปพบมหากุมภีล์ตัวใหญ่ ได้สัประยุทธนาการ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประหารกุมภีล์ตาย ประทมตื่น ขณะนั้นตรัสให้โหรทำนาย พระโหราธิบดีกราบทูลทำนายว่า ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวง จะได้ซึ่งมหายุทธหัตถี แต่ทว่าพระองค์จะมีชัย จะไล่ประหารปัจจามิตรข้าศึก ดุจพระสุบินว่าเที่ยวลุยกระแสน้ำ...”

ทั้งตอนกำลังยกทัพหลวงออกไป พงศาวดารยังบันทึกไว้ว่า “...ทรงเครื่องสำหรับราชรณยุทธสรรพเสร็จ เสด็จยังเกยคอยฤกษ์ ทอดพระเนตรเห็นพระสารีริกบรมธาตุเสด็จปาฏิหาริย์ ช่วงเท่าผลส้มเกลี้ยง มาแต่ทักษิณทิศเวียนเป็นทักษิณาวัฏ แล้วเสด็จผ่านไปอุดรทิศ ทรงปีติสร้านไปทั้งพระองค์ ยกพระหัตถ์ถวายทัศนัขสโมธาน อธิษฐานขอสวัสดิชัยแก่ปรปักษ์...”

ฝ่ายพระมหาอุปราชาเมื่อเคลื่อนทัพมากลางทางก็พบลางเหมือนกัน ดังความว่า “...รุ่งขึ้นพระมหาอุปราชาก็เสด็จกรีธาทัพหลวงมาโดยมรรคาวิถี เพลาบ่ายแล้ว ๓ นาฬิกา บังเกิดวายุรัมภวาตพัดหวนหอบธุลีฟุ้งผันเป็นกงจักร กระทบถูกมหาเศวตฉัตรซึ่งกั้นมาหลังพระคชธารนั้นพับลง พระมหาอุปราชาทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็ตกพระทัย...”
และแล้วเหตุการณ์ก็เป็นไปตามลางนั้น

ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตอนพิธีพระบรมราชาภิเษกก็เกิดลางเหมือนกัน มีน้ำที่มีกลิ่นหอมหลั่งลงมาจากเพดานในโรงพระราชพิธี ดังความว่า “...ในวันแรกตั้งพระราชพิธีนั้นเพลาค่ำแล้วประมาณค่ำสองทุ่ม มีพระสุคนโททกขาวบริสุทธิตกลงมาแต่เพดานในโรงพระราชพิธีเป็นอัศจรรย์...” ในรัชสมัยของพระองค์จึงรุ่งเรือง เมืองสยามส่งกลิ่นหอมตลบอบอวนไปทั่ว

ในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิก็เกิดลางดีเหมือนกัน แต่ไปเกิดกับพระเจ้ากรุงหงสาวดี ตะเบงชะเวตี มีความว่า
“...ขณะนั้นสมเด็จพระเจ้าหงสาวดีทอดพระเนตรดูบนอากาศ เห็นดวงอาทิตย์แจ่มดวงหมดเมฆหมอก แล้วคิชฌราชบินนำหน้าทัพ ครั้นเห็นศุภนิมิตราชฤกษ์ดังนั้นก็ให้ลั่นฆ้องชัยอุโฆษแตรสังข์ อึงอินทเภรีขึ้นพร้อมกัน ก็ตรัสให้ขับพลเข้าโจมตีทัพสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ...”

คิชฌราช ที่มาบินนำหน้าทัพนั้นก็คือ “แร้ง” ซึ่งในความเชื่อของคนไทยเป็นนกที่นำมาซึ่งความอัปมงคลเหมือนนกแสก แต่ในอีกความหมายหนึ่ง หมายถึงนกที่บินหาเหยื่อด้วยความหวัง เหตุการณ์ครั้งนี้ก็คือที่เราต้องสูญเสียพระสุริโยทัย

ในปลายรัชกาลของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา ก็ได้เกิดนิมิตที่เป็นลางบอกเหตุเรื่องร้าย ดังมีบันทึกไว้ว่า “...ศักราช ๘๖๖ ปีชวดฉอศก (พ.ศ.๒๐๔๗) ครั้งนั้นงาเบื้องขวาช้างต้นเจ้าพญาปราบ แตกออกไป อนึ่งในเดือน ๗ นั้นคนทอดบัตรสนเท่ห์ครั้งนั้นให้ฆ่าขุนนางเสียมาก ศักราช ๘๖๗ ปีฉลูสัปตศก น้ำน้อยข้าวตายฝอยสิ้น อนึ่งแผ่นดินไหวและเกิดอุบาทว์หลายประการ ศักราช ๘๗๑ ปีมะเส็งเอกศก ในพาราราตรีภาคเห็นอากาศเป็นนิมิต เป็นอินทนูแต่ทิศหรดีผ่านทิศพายัพมีพรรณสีขาว อยู่มา ณ วัน ๑ ฯ ๔ ๑๒สมเด็จพระรามาธิบดีเจ้าเสด็จสวรรคต อยู่ในราชสมบัติ ๓๔ ปี...”

ในคราวที่กรุงศรีอยุธยาจะถูกทำลายอย่างย่อยยับ ก็มีลางบอกเหตุที่หลวงพ่อวัดพนัญเชิงหลังน้ำพระเนตรไว้ว่า

“...พม่าล้อมกรุงอยู่ครั้งนั้นนานถึงสองปีเศษ ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยอาสาออกรบแตกยับเยินเข้ามา ที่สุดจนขุนนางจีนขุนนางแขกขุนนางฝรั่งขุนนางมอญขุนนางลาว แลนายโจรนายซ่อง ก็ชวนกันออกอาสาตีกองทัพพม่าที่ล้อมกรุงทั้งแปดทิศ ก็มิได้ชนะ พม่ากลับฆ่าฟันล้มตายแตกเข้ามาทั้งสิ้น ด้วยอายุแผ่นดินกรุงพระนครศรีอยุทธยาถึงกาลฆาต จึ่งอาเพศให้เห็นประหลาดเป็นนิมิต พระประธานวัดเจ้าพนังเชิงน้ำพระเนตรไหลลงมาจนพระนาภี ในวังวัดพระศรีสรรเพชญ์นั้น พระบรมไตรยโลกย์นารถพระอุระแตก ดวงพระเนตรตกลงมาอยู่ที่ตักเป็นอัศจรรย์ พระเจดีย์วัดราชบูรณะนั้น กาบินมาเสียบตายบนปลายยอดโดยอาเพศ อนึ่งรูปพระณะเรศเจ้าโรงแสงใน กระทืบพระบาทสนั่นไปทั้งสี่ทิศ อากาศก็วิปริตไปต่างๆ บอกเหตุบอกลางจะเสียกรุง …”

ตอนนี้กรุงรัตนโกสินทร์ก็กำลังเปลี่ยนถ่ายอำนาจทางการเมือง ใครจะมาเป็นรัฐบาลใหม่ก็ยังลุ้นกันอยู่ จะมีลางบอกเหตุหรือยังก็ไม่แน่ชัด แต่เริ่มเห็น “น้ำไหล ไฟสว่าง” แล้ว คงจะรุ่งโลดสมใจ
กำลังโหลดความคิดเห็น