นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2565 ครั้งที่ 2 ตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ประกอบด้วย แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงิน 1,415,103 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49,619 ล้านบาท แผนการบริหารหนี้เดิม วงเงิน 1,501,163 ล้านบาท ลดลง 35,794 ล้านบาท แผนการชำระหนี้ วงเงิน363,269 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,035 ล้านบาท
ความจำเป็นในการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ครั้งที่ 2 นี้ สาเหตุมาจากความต้องการกู้เงินเพิ่มเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จำนวน 10,000 ล้านบาท เพื่อใช้รักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน ไม่ให้กระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน การปรับเพิ่มโครงสร้างหนี้จากเงินกู้รัฐบาลครบกำหนดในปีงบประมาณ 2565 ซึ่งเป็นหนี้เงินกู้ภายใต้ พ.ร.ก.กู้เงินโควิด-19 เพิ่มเติม 2564 เพื่อบริหารความเสี่ยงวงเงินกู้ต่างประเทศ คาดว่าจะลงนามสัญญารองรับการระดมทุนในสกุลเงินตราต่างประเทศ วงเงิน 29,345 ล้านบาท
รวมถึงการกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงการพัฒนา ใช้เงินทุนหมุนเวียนของรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง 39,445 ล้านบาท อาทิ การรถไฟฯ ปรับเพิ่มวงเงินโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน (ระบบไฟฟ้า เครื่องกล และตู้รถไฟฟ้า) จำนวน 1,660 ล้านบาท กฟผ. ปรับเพิ่มเงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินในปี 2565- 2567 ภายใต้กรอบวงเงินไม่เกิน 25,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบบรรจุโครงการเพิ่มเติมในการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ครั้งที่ 2 จำนวน 21 โครงการ และให้รัฐวิสาหกิจ 2 แห่ง คือ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่มีสัดส่วนความสามารถในการหารายได้เทียบกับภาระหนี้ของกิจการ (DSCR) ต่ำกว่า 1 สามารถกู้เงินและบริหารหนี้ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ครั้งที่ 2 โดยให้รัฐวิสาหกิจดังกล่าวและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะไปดำเนินการด้วย
นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า กระทรวงการคลัง คาดว่า ประมาณการหนี้สาธารณะคงค้างต่อ GDP ภายหลังการปรับปรุงแผนในครั้งนี้ จะอยู่ที่ร้อยละ 62.76 ซึ่งไม่เกินร้อยละ 70 ตามกรอบการบริหารหนี้สาธารณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด ทั้งนี้ ประมาณร้อยละ 70 ของหนี้สาธารณะ จะเป็นเงินกู้เพื่อการลงทุน แบ่งเป็น ด้านคมนาคม ร้อยละ 26 ด้านการศึกษาและวิทยาศาสตร์ ร้อยละ 13 ด้านเศรษฐกิจและสังคม ร้อยละ 13 ด้านสาธารณูปการ ร้อยละ 9 ด้านลงทุนทั่วไป ร้อยละ 6 และด้านสาธาณสุข ร้อยละ 2