เพจสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ โพสต์ระบุว่า 24 พ.ย.นี้ ยาน DART ในภารกิจทดสอบการพุ่งชนดาวเคราะห์น้อยเพื่อป้องกันโลก จะทะยานขึ้นสู่อวกาศแล้ว
ถือเป็นภารกิจใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนและน่าติดตามมาก วันนี้เราจะมาเจาะลึกส่วนประกอบและการทำงานของยานลำนี้กัน
เกี่ยวกับภารกิจDART
ภารกิจ DART เป็นภารกิจแรกที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการป้องกันดาวเคราะห์ (Planetary defense) โดยจะทดสอบวิธีการเบี่ยงเบนวงโคจรของดาวเคราะห์น้อยไม่ให้พุ่งชนโลก
สำหรับภัยคุกคามที่เกิดจากการพุ่งชนของดาวเคราะห์น้อย แม้จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้จริง แต่นับว่ามีความเสี่ยงอยู่ในระดับต่ำมากและสามารถป้องกันได้ ยาน DART จึงเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะช่วยไขความเข้าใจ เกี่ยวกับการปกป้องโลกจากภัยคุกคามเหล่านี้
ส่วนประกอบและการทำงานของยานDART
ยาน DART เป็นยานที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก ตัวยานมีลักษณะเป็นทรงลูกบาศก์กว้างด้านละประมาณ 1 เมตร มีปีกแผงเซลล์สุริยะที่สามารถกางออกมาจนยานมีความยาว 12 เมตร ส่วนระบบเครื่องยนต์ขับดันไฟฟ้า (electric propulsion system) จะสร้างกระแสของไอออน (อนุภาคมีประจุ) เพื่อสร้างแรงดันอย่างต่อเนื่องระหว่างที่ยานกำลังเคลื่อนที่
ยาน DART จะถูกส่งขึ้นสู่อวกาศด้วยจรวดฟัลคอน 9 จากฐานปล่อยจรวดในฐานทัพอวกาศฟานเด็นเบร็ค (Vandenberg Space Force Base) รัฐแคลิฟอร์เนีย ในวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ยาน DART จะโคจรรอบโลกครบ 3 รอบ ระหว่างนั้นจะจุดเครื่องยนต์ขับดันไฟฟ้าเพื่อปรับอัตราเร็วให้มากพอที่จะหลุดจากวงโคจรรอบโลกได้ ก่อนมุ่งหน้าสู่ดาวเคราะห์น้อยดีดิมอส-ไดมอร์ฟอส (มีกำหนดถึงในต้นเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565) และอาจจะเดินทางผ่านใกล้ดาวเคราะห์น้อยดวงอื่น (2001 CB21) ระหว่างทางอีกด้วย
ตัวยาน DART มีอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์เพียงชิ้นเดียวคือ กล้องถ่ายภาพความละเอียดสูง มีชื่อว่า DRACO ซึ่งใช้ในการนำทาง DART ไปยังจุดหมาย กล้อง DRACO มีต้นแบบจากกล้องถ่ายภาพที่ติดตั้งบนยานนิวฮอไรซันส์ของนาซา
ในช่วง 5 วันก่อนที่ยานจะถึงเป้าหมาย ยาน DART จะปล่อยยานลำลูกเป็นดาวเทียมขนาดเล็ก (CubeSat) ที่พัฒนาโดยองค์การอวกาศอิตาลี (ASI) ชื่อ LICIACube (ย่อมาจาก Light Italian CubeSat for Imaging of Asteroids) เพื่อสังเกตการณ์การพุ่งชนของยานลำแม่ ตัวยานลำแม่นั้นอยู่ไกลจากโลกเกินกว่าที่จะบังคับจากศูนย์ควบคุมได้อย่างทันที จึงต้องปรับให้ยานใช้ระบบนำทางอัตโนมัติตั้งแต่ช่วง 4 ชั่วโมงก่อนการพุ่งชน ภาพถ่ายจากกล้อง DRACO จะช่วยทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ของยานลำแม่รู้ความแตกต่างระหว่างดาวเคราะห์น้อยดีดิมอสกับไดมอร์ฟอส เพื่อให้ยานชนดาวเคราะห์น้อยไดมอร์ฟอสที่เป็นเป้าหมายได้อย่างถูกต้อง
ในการพุ่งชนของยาน DART ตัวยานจะพุ่งชนดาวเคราะห์น้อยไดมอร์ฟอสด้วยอัตราเร็ว 6.6 กิโลเมตรต่อวินาที และนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าการพุ่งชนดังกล่าวจะทำให้ดาวเคราะห์น้อยไดมอร์ฟอสลดระดับวงโคจรมาอยู่ใกล้ดาวเคราะห์น้อยดีดิมอสมากขึ้น และคาบการโคจรของไดมอร์ฟอสจะเปลี่ยนจาก 11.9 ชั่วโมง เป็น 11.8 ชั่วโมง (เร็วขึ้นประมาณ 4.2 นาที)