นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมกับผู้บริหารสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ แถลงแนวทางช่วยเหลือเพิ่มเติมให้แก่ผู้ประกอบ SMEs ว่า หลังจาก พ.ร.ก. ให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ผู้ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 (พ.ร.ก. Soft Loan) เมื่อเศรษฐกิจยังมีปัญหา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงผ่อนให้สถาบันการเงินพิจารณาเข้าช่วยเหลือเป็นรายกรณี หลังจากลูกหนี้เข้าโครงการพักหนี้ทั้งระบบจำนวน 12.2 ล้านราย วงเงิน 6.9 ล้านล้านบาท เป็นลูกหนี้ของแบงก์รัฐ 6.57 ล้านราย วงเงินสินเชื่อคงค้าง 2.89 ล้านบาท
กระทรวงการคลังจึงมอบหมายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 4 แห่งหลัก ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และเอสเอ็มอี อีแบงก์ ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs และลูกหนี้รายย่อย ตามแนวทางของ ธปท. ดังนี้
1. ขยายระยะเวลาการชะลอการชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 6 เดือน นับจากสิ้นปี 2563 เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกหนี้ มีปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) และสานต่อธุรกิจต่อไป เมื่อไวรัสโควิด-19 คลี่คลาย
2. ผู้ประกอบการ SMEs เริ่มกลับมาดำเนินธุรกิจได้ แต่ธุรกิจยังไม่ฟื้นตัว ต้องเร่งปรับโครงสร้างหนี้ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 โดยชำระหนี้เหมาะสมกับสถานการณ์ของลูกหนี้และลดภาระของลูกหนี้กลุ่มดังกล่าวในระยะยาว
3. ผู้ประกอบการ SMEs ที่มีความพร้อมและสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้ ให้แบงก์รัฐรับชำระหนี้ตามปกติ เพื่อลดภาระของลูกหนี้ เพราะต้องรับภาระดอกเบี้ยในช่วงพักชำระหนี้
สำหรับแนวทางการช่วยเหลือลูกหนี้ มาตรการอื่นของแบงก์รัฐ ที่อยู่ระหว่างการพักชำระหนี้ ได้มีการขยายระยะเวลาพักชำระหนี้ เงินต้นและดอกเบี้ย ไม่ควรเกิน 6 เดือนนับจากสิ้นปี 2563 เพื่อบรรเทาภาระในการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้กลุ่มดังกล่าว ทั้งนี้ ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจติดตามเพื่อดูแลลูกหนี้แต่ละรายอย่างใกล้ชิดและคำนึงถึงผลประโยชน์ของลูกหนี้ในระยะยาวด้วย การติดต่อเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ เช่น การลดค่างวด การขยายระยะเวลาการชำระหนี้ เติมความรู้และทักษะในการดำเนินธุรกิจ การเพิ่มแรงจูงใจแก่ลูกหนี้ที่มีศักยภาพกลับมาชำระหนี้ตามปกติเพื่อลดภาระหนี้ของลูกหนี้ตลอดระยะเวลาสัญญา และป้องกันปัญหาวินัยทางการเงิน (Moral Hazard) เช่น การลดดอกเบี้ย การคืนเงินบางส่วนเพื่อเป็นรางวัลให้ลูกหนี้ที่กลับมาชำระหนี้เป็นปกติ