พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แถลงว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติยอมรับผลการตรวจสอบจากคณะกรรมการชุดของนายวิชา มหาคุณ พร้อมจะดำเนินการเอาผิดทางวินัยกับตำรวจที่บกพร่องอย่างเด็ดขาด ไม่มีการช่วยเหลือกัน และพร้อมชี้แจงประเด็นข้อสงสัยทุกกรณี
ขณะเดียวกัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมดำเนินการตามข้อเสนอแนะในเรื่องการรื้อฟื้นคดีอาญา โดยมีความเห็นสั่งฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา ใน 3 ข้อหา คือ ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือฯ และเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคคาอีน) โดยผิดกฎหมาย แต่คาดว่าในข้อหาไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือฯ นั้น ทางอัยการอาจสั่งไม่ฟ้อง เพราะคดีขาดอายุความไปแล้ว
พล.ต.ท.จารุวัฒน์ กล่าวด้วยว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมรับผิดชอบด้วยการเข้ามาตรวจสอบภาพรวมคดีนี้ด้วยตัวเอง โดยมีจเรตำรวจเป็นประธานตรวจสอบข้อเท็จจริง และอยู่ระหว่างการพิจารณาโทษทางวินัยกับตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการทำคดีนี้จำนวน 21 นาย แบ่งเป็น 10 นาย ที่เพิ่งตรวจพบข้อบกพร่องใหม่ และอีก 11 นาย ที่เคยถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดแล้ว หากพบความผิดเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาเพิ่มเติม ก็จะส่งให้ ป.ป.ช.พิจารณาอีกครั้ง และหากพบตำรวจรายใดที่อาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน ก็อาจเสนอให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติออกคำสั่งให้ช่วยราชการไว้ก่อน พร้อมระบุว่า การพิจารณาความผิดผู้ใด คงไม่สามารถดำเนินการตามใจสื่อมวลชนหรือกระแสสังคมได้ แต่หากพบพยานหลักฐานว่ามีตำรวจนายใดเข้าข่ายประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง จะไม่ช่วยเหลือปกป้องตำรวจที่กระทำผิดอย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของตำรวจ ไม่สามารถเรียก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาสอบสวนได้ เนื่องจาก พล.ต.อ.สมยศ ไม่ได้เป็นตำรวจแล้ว และในรายงานของนายวิชา ไม่ได้ระบุชื่อชัดเจน แต่ก็จะต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เพราะผู้ที่เข้าให้การกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายฯ ต่างเป็นอิสระต่อกัน
ส่วนการตามตัวนายวรยุทธ กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย พล.ต.ท.จารุวัฒน์ กล่าวว่า ต้องรอให้อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องก่อน จึงจะดำเนินการตามขั้นตอนขอหมายแดงจากองค์กรตำรวจสากลได้ และที่ผ่านมา ตำรวจพบความเคลื่อนไหวของนายวรยุทธ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยประเทศปลายทางได้ และไม่สามารถชี้ชัดได้เช่นกันว่า นายวรยุทธ ถือหนังสือเดินทางของชาติใดอยู่ เนื่องจากอำนาจการออกหนังสือเดินทางเป็นของประเทศนั้นๆ
นอกจากนี้ กรณีที่นายวิชา ระบุว่า ตำรวจตั้งรูปสำนวนคดีนี้ผิดแต่แรก โดยแจ้งข้อหา ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ทำให้สำนวนคดีไม่ตรงไปตรงมานั้น ยืนยันว่า การแจ้งข้อหา ด.ต.วิเชียร เป็นไปตามกระบวนการของพนักงานสอบสวน ถูกต้องตามหลักการ ซึ่งคู่กรณีในความผิดกฎหมายจราจร จะต้องถูกตั้งข้อหาทั้งสองฝ่าย เนื่องจากจะมีผลที่ทำให้ผู้เสียชีวิตได้ประโยชน์จากการสอบสวน และเยียวยาในภายหลัง
ส่วนกรณีที่ระบุว่า มีการกันตัว พ.ต.อ.นสิทธิ์ แตงจั่น เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน เป็นพยาน ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังไม่สามารถดำเนินการได้ จนกว่าจะมีการสอบสวนดำเนินคดีอาญาเกิดขึ้น พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ จึงยังอยู่ในฐานะของผู้ที่ถูกพาดพิงในคดีนี้