สำนักงานศาลปกครองเผยแพร่ข่าวว่า คณะอนุกรรมการบริหารศาลปกครอง ด้านการป้องกันและการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งมีนายปิยะ ปะตังทา ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นประธาน ได้มีประกาศให้ขยายระยะเวลาในการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อคู่กรณี ประชาชน หน่วยงานทางปกครอง และเจ้าหน้าที่ของรัฐ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เพิ่มเติมออกไป นับตั้งแต่วันที่ 1-31 พฤษภาคม ทั้งนี้ จากเดิมที่คณะกรรมการอำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของศาลปกครอง ได้เคยประกาศกำหนดไว้ ถึงวันที่ 30 เมษายน
เนื่องจากปรากฏข้อเท็จจริงในปัจจุบันว่า ยังคงมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และจำเป็นที่จะต้องดำเนินการตามมาตรการต่างๆ ของรัฐอย่างจริงจังต่อไป เพื่อให้สามารถควบคุมและจัดการการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของชีวิตและสุขภาพพลานามัยของทุกคนในสังคมเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ศาลปกครองยังคงเปิดทำการตามปกติเพื่อให้การบริการด้านการอำนวยความยุติธรรมทางปกครองดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและดีที่สุด แต่ได้เพิ่มมาตรการเพื่อลดภาระการเดินทางมายังที่ทำการศาลปกครองของคู่กรณีและประชาชนที่ติดต่อกับศาล และบุคลากรของศาลปกครอง โดยในส่วนที่เกี่ยวกับคู่กรณีและประชาชน กำหนดให้การยื่นคำฟ้อง คำให้การ และคำร้องคำขอต่างๆ สามารถดำเนินการทางระบบงานคดีปกครองอิเล็กทรอนิกส์ ไปรษณีย์ลงทะเบียน และโทรสาร ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เคยลงทะเบียนระบบงานคดีปกครองอิเล็กทรอนิกส์ไว้ก่อนหรือไม่
ส่วนการนั่งพิจารณาคดีของศาล การไต่สวน การนัดประชุมไกล่เกลี่ย และการนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล คู่กรณีสามารถดำเนินการได้โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือระบบการประชุมทางจอภาพ แอปพลิเคชันต่างๆ เช่น ไลน์ เฟซบุ๊ก โดยคู่กรณีไม่ต้องมาศาล แต่ในกรณีที่จำเป็นต้องมีการนั่งพิจารณาคดี ไต่สวน นัดประชุมไกล่เกลี่ย หรืออ่านคำพิพากษาที่ศาล ศาลสามารถกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อความปลอดภัยได้ตามความเหมาะสม เช่น การสวมใส่หน้ากากอนามัย การจำกัดจำนวนคนในห้องพิจารณาคดี
นอกจากนั้น กำหนดให้ตุลาการศาลปกครองและเจ้าหน้าที่ศาลปฏิบัติงานที่บ้าน กรณีการตรวจสำนวน การร่างคำสั่งหรือคำพิพากษาตามความเหมาะสม โดยใช้ระบบงานคดีปกครองอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนในการประชุมปรึกษาสามารถใช้ระบบการติดต่อสื่อสารระหว่างกันได้ตามที่เห็นสมควร พร้อมทั้งจัดให้มีบุคลากรในจำนวนเท่าที่จำเป็น แต่เพียงพอต่อการให้บริการประชาชน
โดยให้บุคลากรสามารถปฏิบัติงานจากที่บ้านหรือที่อยู่อาศัยได้ โดยคำนึงถึงผลสัมฤทธิ์ของงาน การรักษาวินัย และการตระหนักถึงความปลอดภัยของตนเองและประชาชนส่วนรวม และเพิ่มความเข้มข้นเกี่ยวกับมาตรการในการทำความสะอาดและกำจัดความเสี่ยงของการติดเชื้อในพื้นที่ปฏิบัติงานและพื้นที่ให้บริการประชาชน เช่น บริเวณที่ประชาชนยื่นฟ้องหรือติดต่อราชการอื่น ห้องพิจารณาคดี ห้องไต่สวน ห้องไกล่เกลี่ย โรงอาหาร ห้องประชุม ห้องน้ำ ลิฟต์โดยสาร เป็นต้น