นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยภาพรวมการดำเนินคดีกับผู้ฝ่าฝืนประกาศเคอร์ฟิว ห้ามออกจากเคหสถานในช่วงเวลา 22.00-04.00 น. ตั้งแต่วันที่ 3-6 เมษายน พบมีการฝ่าฝืนทั้งสิ้น 438 คดี มีผู้ถูกดำเนินคดี 623 คน ซึ่งทุกคดีพนักงานอัยการได้มีคำขอให้ศาลลงโทษสถานหนัก ศาลได้ใช้ดุลพิจลงโทษจำเลยตามคำขอ เช่น ศาลแขวงพระนครศรีอยุธยา ลงโทษจำคุก 2-4 เดือน โดยไม่รอการลงอาญา และศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานี จำคุก 15 วัน เปลี่ยนเป็นกักขังแทน 15 วัน ในสถานกักกันของกรมราชทัณฑ์ ช่วงอายุที่กระทำผิดมากที่สุด อายุระหว่าง 20-35 ปี รองลงมาคือช่วง 35-55 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุที่กระทรวงสาธารณสุขให้ระมัดระวังการแพร่เชื้อโควิด-19
สำหรับขั้นตอนการดำเนินคดี เนื่องจากเป็นกรณีบังคับใช้กฎหมายตามอำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พนักงานสอบสวนต้องสรุปสำนวนส่งต่อพนักงานงานอัยการภายใน 48 ชั่วโมง จากนั้นคดีจะขึ้นสู่ศาลแขวง เนื่องจากเป็นคดีมีอัตราโทษไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 3 แสนบาท อย่างไรก็ตาม ทุกคดีพนักงานอัยการได้ส่งให้ศาลพิจารณาหมดแล้ว พร้อมเตือนประชาชนให้เคารพกฎหมาย เพราะเจ้าพนักงานจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และลงโทษสถานหนักเท่านั้น
สำหรับขั้นตอนการดำเนินคดี เนื่องจากเป็นกรณีบังคับใช้กฎหมายตามอำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พนักงานสอบสวนต้องสรุปสำนวนส่งต่อพนักงานงานอัยการภายใน 48 ชั่วโมง จากนั้นคดีจะขึ้นสู่ศาลแขวง เนื่องจากเป็นคดีมีอัตราโทษไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 3 แสนบาท อย่างไรก็ตาม ทุกคดีพนักงานอัยการได้ส่งให้ศาลพิจารณาหมดแล้ว พร้อมเตือนประชาชนให้เคารพกฎหมาย เพราะเจ้าพนักงานจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และลงโทษสถานหนักเท่านั้น
