นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า วันพุธที่ 4 ธ.ค.62 นี้ เวลา 13.00 น. ตนจะเดินทางไปยื่นคำร้อง ต่อ ป.ป.ช. ให้ไต่สวน สอบสวนเอาผิด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จำนวน 10 คน จาก 5 พรรคการเมือง ประกอบด้วย สส.จากพรรคอนาคตใหม่ 2 คน พรรคพลังประชารัฐ 2 คน พรรคประชาธิปัตย์ 3 คน พรรคภูมิใจไทย 2 คนและพรรคเพื่อไทย 1 คน ซึ่ง ส.ส.เหล่านี้ได้ยื่นแบบแสดงบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สินต่อ ป.ป.ช. เมื่อ 25 พ.ค.2562 ที่ผ่านมา ปรากฏว่า ได้ยึดถือครอบครองที่ดินประเภท ภ.บ.ท.5 และหรือ ส.ป.ก.กันเป็นจำนวนมาก โดยที่น่าจะขาดคุณสมบัติของการมีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งที่ดิน ภ.บ.ท.5 นั้นเป็นเพียงเอกสารการเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภาษีดอกหญ้า) ซึ่งท้องถิ่นจะจัดเก็บ ไม่เกี่ยวกับว่าใครเป็นเจ้าของที่ดิน ไม่ใช่เอกสารแสดงสิทธิครอบครองที่ดิน เพราะเจ้าของที่ดินก็ยังคงเป็นของทางราชการอยู่ เพียงแต่อาจจะให้มีการใช้ประโยชน์ชั่วคราว แต่ไม่ถือว่าผู้ที่ใช้ประโยชน์นั้นเป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งปัจจุบันมีคำสั่งกรมการปกครองเมื่อปี 2551 ได้สั่งให้ยกเลิกการเก็บภาษีดังกล่าวแล้ว เพราะปัญหาคือ ส่วนมากเป็นที่ป่าสงวน การแจ้งเสียภาษีก็แจ้งกันเองโดยไม่รังวัด บางรายครอบครองเป็นร้อยเป็นพันไร่ บุกรุกป่าทั้งนั้น ซึ่งที่ดินประเภทดังกล่าว ไม่ใช่เอกสารสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายที่ดินแต่อย่างใด โดยมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 676/2519 กำหนดบรรทัดฐานไว้ว่า “ผู้ที่มีชื่อในใบเสร็จเสียเงินบำรุงท้องที่เป็นเพียงหลักฐานแสดงว่าผู้นั้นเป็นผู้เสียภาษีเท่านั้น ไม่ใช่หลักฐานแสดงว่าผู้นั้นมีสิทธิครอบครอง”
ส่วนที่ดิน ส.ป.ก.นั้น ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม 2518 กำหนดไว้ชัดเจนว่าผู้ที่จะมีสิทธิยึดถือครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินปฎิรูป ต้องเป็นมีอาชีพเป็นเกษตรกรเป็นหลัก โดยมี พรฎ.กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการเป็นเกษตรกร 2535 ไว้โดยต้องมีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ 1.มีฐานะยากจน 2.ผู้จบการศึกษาทางเกษตรกรรม และ 3.บุตรของเกษตรกรที่มีอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักเท่านั้น
ดังนั้นตามบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่ สส.ทั้ง 10 คนได้ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปรากฏโดยชัดแจ้งว่ามีทรัพย์สินและรายได้ต่อปีเป็นจำนวนมาก จึงเป็นการขัดต่อ พ.ร.ฎ.กำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการเป็นเกษตรกร พ.ศ.2535 และมติคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ครั้งที่ 1/2555 เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2555 ได้กำหนดอัตรารายได้ของผู้ยากจนไว้ คือ ผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาทต่อคนต่อปีเท่านั้น
ดังนั้น ส.ส.ทั้ง 10 คน ซึ่งเป็นตัวแทนประชาชนฝ่ายนิติบัญญัติ ย่อมรู้ว่าตนเองเป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติของการได้สิทธิในการครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดิน ส.ป.ก. หรือ ภ.บ.ท.5 ดังกล่าวมาตั้งแต่ต้น แต่กลับไม่ยอมสละที่ดินดังกล่าวคืนให้รัฐเพื่อนำไปจัดสรรให้กับผู้ยากไร้ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ซึ่งเท่ากับว่าอาจมีเจตนาที่จะทุจริตต่อหน้าที่ และฝ่าฝืนกฎหมายอันเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมฯ 2561 อย่างร้ายแรงในข้อ 7 ข้อ 8 และข้อ 9 และยังเข้าข่ายการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลักในข้อ 11 ข้อ 12 ข้อ 17 และฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมทั่วไปในข้อ 21 ตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 ม.219 บัญญัติอีกด้วย สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงต้องนำความมาร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการไต่สวนสอบสวน เพื่อดำเนินการเอาผิดหรือลงโทษ ส.ส.ทั้ง 10 คนต่อไป