นายยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว ศิลปินเพลงเพื่อชีวิตชื่อดัง โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Add Carabao ระบุว่า เกือบซวยเเล้วไหมละ ต้องการเขียนบทความธรรมะจูงควายโดยยกเรื่อง ขันธ์ 5 มาชี้แจงว่าสำคัญมากในการศึกษาพระพุทธศาสนา บังเอิญแคปรูปมามีรูปคุณธนาธรติดมาด้วย เลยพูดพาดพิงนิดหน่อย ก็แค่เรื่องที่เคยอ่านมาจากประวัติศาสตร์เก่าๆ นั่นเเหละ ไม่ได้ต่อว่าไม่ได้ติ ไม่ได้ชม ไม่ลบไม่บวก แต่เเค่ลงเเป๊บเดียว พี่น้องที่หวังดีเตือนว่าพี่ไม่กลัวสีเสื้อถล่มเพจเหรอ เท่านั้นเเหละครับสัญญาเก่าเมื่อคราวก่อนหวนกลับมาเลย เลยต้องรีบลบออกทันทีเเล้วโพสต์ใหม่ ตกลงตามนี้นะครับ โพสต์เก่ายกเลิกไม่ใช้แล้ว กรุณาอย่าจับมาเป็นประเด็น ผมไม่รับผิดชอบ (แค่ผมกลัวเพจธรรมะจูงควายจะล่ม)
ส่วนคุณสุริยะนี้ต้องบอกว่า เข้ามานั่งหัวโต๊ะกรรมการวัตถุอันตรายเเบบนี้เกมส์เเบนสารพิษเลยเปลี่ยน หลายคนถามผมว่าพี่ตู่แกรู้ไหมเนี้ยะ
พี่หมอของผมท่านส่งบทความดีๆ นี้มาให้ ผมอยากเผยเเพร่ต่อครับ มันเรื่องเดียวกันเลย เรื่องของสัญญาในขันธ์ 5 หรือใครจะคิดเลยไปว่ามันเป็นสันดานของนักการเมืองเมืองไทยก็มีสิทธิ์ครับพี่น้อง
ท่านทูตประเทศแถบสแกนดิเนเวีย , นอร์เวย์, สวิตเซอร์แลนด์ , ฟินแลนด์ , เดนมาร์ก วิเคราะห์ให้ฟังว่า จุดแข็งจุดอ่อน ของประเทศไทย และบทสรุปที่น่าคิด
จุดแข็งของประเทศไทย ประเทศไทยตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ดีที่สุด ในทุกๆ ด้าน คือ
1.ที่ตั้งจะว่าอยู่ใจกลางโลกก็ว่าได้ เพราะรอบข้างมีแต่ประเทศที่มีประชากรมาก เช่น อินเดีย 1200 ล้านคน จีน 1400 ล้านคน ญีปุ่น 100 ล้าน อินโดนีเซีย 400 ล้านคน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม เกาหลี ล้วนแต่ 100 ล้านคน ซึ่งหมายถึงตลาดการค้า ตลาดอาหารและยาสมุนไพร ที่ใหญ่มหาศาลยิ่ง
2.มีสภาพพื้นที่ เป็นแหลมยื่นลงไปในทะเลระหว่างสองมหาสมุทร คือมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก เป็นทั้งแหล่งอาหาร ออกเรือหาปลาได้ถึงสองมหาสมุทร ทั้งจะติดต่อค้าขายกับทุกประเทศก็สะดวกยิ่งนัก
3.บนผืนแผ่นดินก็อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธ์ุธัญญาหาร มีทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย มีป่าไม้ แหล่งน้ำ กุ้งหอย ปู ปลา ทั้งในน้ำจืดและในทะเล ทุกพื้นที่ในป่า ในบ้าน ในสวน เต็มไปด้วยพืชอาหาร และพืชสมุนไพรมากมายเหลือเกิน เป็นทั้งครัว และคลังยาสมุนไพรของโลกไปพร้อมกันได้เลยทีเดียว
4.ใต้ผืนดินก็มีแร่ธาตุนานาชนิด มีแหล่งน้ำมันดิบและแก๊สธรรมชาติ มากมายมหาศาลยิ่งนัก มากกว่าประเทศกลุ่มโอเปกหลายประเทศเสียด้วยซ้ำไป
5.เรามีภูมิปัญญาในการใช้สมุนไพรที่สืบทอดจากบรรพชนมากมายเหลือเกิน ที่สามารถนำมาวิจัยพัฒนาต่อยอดให้มีประสิทธิภาพเป็นยาสมุนไพรที่มีมาตรฐานในการรักษาโรคได้ไม่แพ้ยาเคมีจากต่างประเทศ สามารถส่งเป็นสินค้าออกไปขายทั่วโลกได้ สร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ เสริมความมั่นคงของชาติได้อย่างดี
6.เรามีธรรมชาติที่สวยงาม มีหาดทรายยาวสองฝั่งทะเล มีน้ำตก มีถ้ำ เพิงผา ป่าไม้ ภูเขา อ่าว แหลม ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดีมากมาย
7.ตั้งอยู่ในเขตร้อนที่แดดจัด สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ใช้อย่างไม่ต้องกลัวหมด มีลมบก ลมทะเล ที่สามารถแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าได้ไม่รู้สิ้น
8.ตั้งอยู่ในเขตที่ไม่เสี่ยงต่อภัยธรรมชาติที่รุนแรง ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหว ไม่มีภูเขาไฟที่คุกรุ่น ไม่มีลมพายุที่รุนแรง เช่น ทอร์นาโด หรือใต้ฝุ่น
9.เท่านั้นยังไม่พอ เรายังมีพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่มีคำสอนที่สมบูรณ์ ที่เป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุด อีกด้วย
10.เรามีคนไทยที่จิตใจดี ยิ้มแย้ม มีน้ำใจ มีความฉลาด เรียนรู้เร็ว สามารถพัฒนาได้ง่าย
ด้วยจุดแข็งทั้ง 10 ข้อ ดังที่กล่าวมา ดินแดนไทยถือเป็นดินแดนสวรรค์บนดินก็ว่าได้ ใครก็ตามที่ได้เกิดในประเทศนี้ ถือได้ว่าโชคดีไม่ต่างจากได้เกิดบนสววรค์ คนไทยส่วนใหญ่ควรจะมีความสุขที่สุดในโลก มีสุขภาพดี ไม่เจ็บไขได้ป่วย มีฐานะมั่งคั่ง รำรวย กันถ้วนหน้า แต่ในความเป็นจริง กลับตรงข้าม
จุดอ่อนของประเทศไทย- มีคนไทยเพียงไม่กี่ตระกูล ที่เป็น 1.ขุนทหาร 2.ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ 3.นักการเมืองใหญ่ 4.นายทุนระดับชาติ เท่านั้น ที่ร่ำรวย ที่เสพสุขอยู่บนกองทุกข์ของประชาชน อย่างล้นเหลือ ราวเทพยดาเดินดิน ก็ไม่ปาน แต่คนส่วนใหญ่กลับตกอยู่ในขุมนรกของความยากจน ที่นับวันพวกเขายิ่งจน ยิ่งเป็นหนี้พอกพูนรุนแรง ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลาย ป่าไม้กลายเป็นป่าเสื่อมโทรม พื้นทีทำเกษตรในแม่น้ำลำธาร เต็มไปด้วยสารพิษทางการเกษตรตกค้าง สัตว์น้ำลดลงแทบไม่เหลือเนื่องจากสารพิษปนเปือนในน้ำทำให้การขยายพันธ์ุสัตว์น้ำลดลงมาก ส่งผลให้แหล่งอาหารตามธรรมชาติของคนไทยลดลงอย่างน่าใจหาย คนต้องซื้ออาหารจากตลาดในราคาแพง แทบทั้งหมด
มีคนเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นโรคมะเร็งมากอันดับ 1 ของโลก เนื่องจากรับสารเคมีที่ปนเปื้อนในพืชผัก ในอาหารและน้ำเข้าสู่ร่างกายทุกวัน เป็นเวลานาน นอกจากนี้ยังมีโรคไต โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิต โรคอ้วน ฯลฯ เนื่องจากขาดสภาพแวดล้อมและการดำเนินชีวิตที่เหมาสม จนคนป่วยล้นทุกโรงพยาบาล ทำให้คนไทยจำนวนมากทุกขเวทนาจากการเจ็บไข้ได้ป่วย ทั้งไม่ปลอดภัย ในชีวิตและทรัพย์สิน คนชั่วไม่เกรงกลัวกฎหมาย มียาเสพติด มีอาชญากรรมเต็มบ้านเต็มเมือง คนธรรมดาอยู่ที่ไหนก็ไม่ปลอดภัย
การทุจริตคอร์รัปชั่นยิ่งเพิ่มทวีทุกระดับ ยักษ์ใหญ่โกงใหญ่ ยักษ์เล็กโกงเล็กๆ โกงตามที่มีแรงโกง บ้านเมืองเข้าสู่ยุค "มือใครยาว สาวได้ สาวเอา" อย่างแท้จริง คือ ชนชั้นนำของไทย ตั้งแต่ปี 2500 ได้ใช้หลักรัฐศาสตร์มารในการปกครองบ้านเมือง คือ การปกครองประเทศแบบ ฉ้อฉล หลอกลวง "คดในข้อ งอในกระดูก" "มุ่งทำให้ประชาชนอ่อนแอ" ทำให้ประชาชนตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ "-โง่-เลว-จน-เจ็บ" เพื่อให้ปกครองอย่างเอารัด เอาเปรียบ คดโกง ได้สะดวกง่ายดาย
ข้อคิดที่น่าวิเคราะห์ของสังคมไทย ปัญหาความเหลื่อล้ำในทุกๆ ด้าน ปัญหาความยากจน หนี้สิน แม้แต่ปัญหาโรคภัยไข้เจ็บ แม้จะดูว่าเกิดตามธรรมชาติ
แต่แท้จริงปัญหาพวกนี้ ล้วนแล้วแต่เติมโต และขยายใหญ่ ลุกลาม ทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากโครงสร้างการปกครองที่ชั่วร้าย ที่รวบอำนาจไว้ที่คนไม่กี่คน ไม่มีระบบถ่วงดุลอำนาจที่ดีพอ ทำให้ผู้ปกครอง ทำหรือไม่ทำอะไรก็ได้ ผู้ปกครองกลายเป็นตัวขัดขวางการแก้ไขปัญหาทุกปัญหา เร่งให้มีปัญหา และปัญหาขยายใหญ่ขึ้นมากขึ้น ทั้งสิ้น
วิธีการทำให้ประชาชนโง่ โดยจัดการที่หลักสูตรการศึกษา ทำให้เด็กไม่รักการอ่าน ไม่ชอบการคิดหาเหตุผล ไม่สอนปรัชญาประชาธิปไตย ไม่สอนประวัติศาตร์ วีระชนที่เป็นสามัญชน ไม่สอนให้รู้จักการเอาตัวรอดในระบบทุนนิยม ไม่สอนให้รู้จักการรวมตัวกันต่อสู้ปัญหาเศรษฐกิจในรูปกลุ่ม หรือสหกรณ์ ฯลฯ
วิธีการทำให้ประชาชนเลว เรื่องนี้เน้นที่ปัญญาชน คนชั้นกลาง โดยจัดการที่การศึกษา -จะไม่ฝึกการมีวินัย -ไม่ปลูกฝังความรู้ทางศาสนาอย่างจริงจัง เพื่อให้คนไม่คิดพัฒนาจิตใจตนเอง เพื่อความเป็นมนุษย์ -ไม่ปลูกฝังจิตสำนึกรักชาติให้ปัญญาชน -กีดกันการแสดงออกทางการเมืองของนักศึกษาปัญญาชน เพื่อทำให้ปัญญาชนเห็นแก่ตัวให้มากที่สุด -เพื่อให้ปัญญาชนคนรุ่นใหม่คิดแต่ประโยชน์ส่วนตน ตัวใครตัวมัน ไม่เห็นใจคนยากคนจน ไร้จิตสำนึกความเป็นมนุษย์ที่จะต้องเอื้อเฟื่อเผื่อแผ่ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้ที่ด้อยกว่า
ทำได้ดังนี้ ทางก็สะดวก ไม่มีใครขัดขวางการทุจริต การทำลายชาติของชนชั้นบน แย่ถึงขนาดว่า ถ้าใครพูดถึงการเมือง พูดถึงปัญหาชาติบ้านเมือง ชนชั้นกลางส่วนหนึ่งก็พากันต่อต้าน ไม่ให้พูด ซึ่งเท่ากับ "ปกป้องการคอร์รัปชั่น ปกป้องคนทำลายชาติกันเลยทีเดียว แล้วจะไม่ให้ประเทศนี้ แย่ที่สุดในโลก ได้อย่างไร
วิธีการทำให้ประชาชนจน แค่ออกกฎหมายกีดกัน สร้างความเหลื่อมล้ำในการประกอบอาชีพ เช่น กฎหมายการเงินการธนาคาร การผลิตสุรา และอื่นๆ ที่ไม่เท่าเทียม ออกนโยบายส่งเสริมด้านอุตสาหกรรม
เลิกการสนับสนุนด้านเกษตร งดเงินสนับสนุนวิยาลัยเกษตรในต่างจังหวัด กลับไปสนับสนุนวิทยาลัยกีฬาแทนซึ่งไม่ได้พัฒนาอาชีพอะไร ไม่สนับสนุนการวิจัยข้าว ยาง อ้อย พืชสวน ฯลฯ ปล่อยให้มีการบุกรุกทำลายป่าไม้ แหล่งน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งอาหาร และสมุนไพร สนับสนุนปุ๋ย เคมีฆ่าหญ่า ยาฆ่าแมลงเพื่อทำลายสัตว์น้ำในธรรมชาติ ทำลายดิน ทำให้น้ำปนเปื้อนสารพิษ
แค่นี้เกษตรกรก็ล้าหลัง แข่งขันไม่ได้ ตกเป็นเบี้ยล่างนายทุนยา ปุ๋ย พันธ์ุพืช-สัตว์ จักกลการเกษตร ฯลฯ
แค่นี้เกษตรกร ก็ต้องทิ้งลูก เมีย ไร่ นา ไปหางานทำ เป็นกรรมกรในกรุงเทพฯ
การอ้างส่งเสริมอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว จงใจละเลยการเกษตร ซึ่งเป็นอาชีพของคนส่วนใหญ่ นั้น ชั่วร้ายเกินที่จะกล่าว
อย่าลืมว่าคนสามัญชน 66 ล้านคนของไทย ไม่มีใครมีศักยภาพพอครอบครองเทคโนโลยี่สูง หรือเป็นเจ้าของสถานที่ท่องเที่ยว เป็นเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงได้ เป็นได้แต่ลูกจ้าง เป็นทาสนายทุน ประชาชนจะมีรายได้สูง ตามที่โม้ว่าเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง จะเป็นไทยแลนด์ 4.0 ได้อย่างไร
วิธีการทำให้ประชาชนเจ็บ แค่เว้นภาษีนำเข้ายาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า เพียงอ้างว่า เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้ซื้อของเหล่านี้ได้ถูกทั้งที่จริงถ้านำธรรมชาติมาคิดเป็นต้นทุนแล้ว มันจะแพงแสนแพงก็ตาม นอกจากจะทำให้นายทุนยาพิษรวยจนสะดือปลิ้นแล้ว ยาเหล่านี้ยังไปปนเปื้อนในดิน น้ำ อากาศ นอกจากทำให้ปลา สัตว์น้ำในธรรมชาติแทบสูญพันธ์แล้ว ยังทำให้คนไทยทุกคนได้รับยาเหล่านี้ผ่านอาหาร สัมผัสโดยตรง ทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรงมะเร็ง โรคต่างๆ สารพัด ทำให้ธุรกิจค้าความตายเหล่านี้เติมโตสูบเงินคนไทยไปไม่ต่ำกว่าปีละ เก้าแสนล้านบาททีเดียว
หลายคนอาจไม่ทราบว่า สารพิษ เคมีเกษตรนั้นปลอดภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่จุลินทรีย์ชีวภาพกำจัดแมลงที่ปลอดภัย และคนไทยทำได้เอง กลับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (นี่คือความคดในข้อฯ ของกฎหมายที่ออกโดยคนชั้นสูง ) เพื่อกีดกันด้านการค้า และเพื่อชะลอเทคโลโลยีอินทรีย์ที่ปลอดภัยและผลิตได้เองอย่างชะงัดนัก
บทสรุป สั้นๆ ปัจจุบัน ประเทศนี้แย่ที่สุดเพราะ 1.ชนชั้นนำไทย ที่พยายามทำลายไทย เพื่อประโยชน์ตนและโคตรตระกูลตนถ่ายเดียว 2.ชนชั้นกลาง ที่ไร้ความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง เห็นแก่ความสุขสงบของตน มองการต่อต้านความอยุติธรรมของการปกครอง เป็นความวุ่นวาย และพากันต่อต้านการต่อสู้ของประชาชน แทนที่จะร่วมสู้กับประชาชน