xs
xsm
sm
md
lg

คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 4 สิงหาคม 2560

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

...

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน จากสถานการณ์อุทกภัย เนื่องจากอิทธิพลของมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยมีกำลังแรงตลอดสัปดาห์ ที่ผ่านมา ประกอบกับมีพายุโซนร้อนตาลัส และเซินกา ได้เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย ทำให้มีปริมาณน้ำฝนมากกว่า ค่าเฉลี่ยในฤดูฝนของแต่ละปี เกิดน้ำไหลหลากและท่วมขังในพื้นที่ 44 จังหวัดทั่วประเทศ

ในช่วงที่ผ่านมา มีประชาชนได้รับผลกระทบกว่า3 แสน 7 หมื่นครัวเรือน หรือราว 1 ล้าน 2 แสนคน ปัจจุบัน สถานการณ์ได้คลี่คลายลงแล้ว 34 จังหวัด คงเหลือ10 จังหวัด ที่ยังประสบปัญหาอุทกภัยอยู่ในขณะนี้

ในการดังกล่าวนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สภานายิกาสภากาชาดไทย พร้อมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ทรงห่วงใยราษฎรที่ได้รับผลกระทบทั้งในการดำรงชีวิต และการประกอบอาชีพ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้จัดตั้งศูนย์อำนวยการ เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ หน่วยพระราชทาน และประชาชนจิตอาสา ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนเป็นการด่วน ณ พื้นที่ประสบภัย โดยการประกอบอาหารกล่องแจกจ่ายให้กับประชาชน รวมทั้งพระราชทานน้ำดื่ม และสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น

ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผู้แทนพระองค์ จากสภากาชาด มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก อัญเชิญชุดธารน้ำใจ ถุงยังชีพ และสิ่งของพระราชทานมอบแก่ประชาชนผู้ประสบภัย อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งพระราชทานอาหารสัตว์ให้กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำไปช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ที่ประสบอุทกภัยอีกด้วย ยังความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ และความปลื้มปีติแก่ราษฎรผู้ประสบอุทกภัยเป็นล้นพ้น ขอให้ทุกพระองค์ทรงพระเจริญ

นอกจากนี้ ได้ทรงเน้นเรื่องการนำโครงการพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาสู่การปฏิบัติให้สมบูรณ์ในทุกพื้นที่ การปลูกหญ้าแฝก การตรวจสอบอ่างเก็บน้ำ เขื่อนกั้นน้ำให้แข็งแรง ซ่อม เสริมสร้างให้รวดเร็ว หากปัญหาเกิดขึ้นพร้อมทั้ง ให้ประชาชนได้มีโอกาสร่วมกันดูแล ทางราชการก็ต้องมีการประชาสัมพันธ์โดยเปิดเผย ทุกเรื่องให้ชัดเจน อะไรที่ทำได้ ทำไม่ได้ อะไรที่ทำไหว ไม่ไหว

ทั้งนี้ เพราะว่าทุกอย่างนั้น เป็นการก่อสร้างมาในอดีตที่ผ่านมา บางสถานที่อาจใช้เวลายาวนานมาแล้ว วันนี้อาจจะไม่ทัน หรือแก้ปัญหาได้ไม่พอเพียง เนื่องจากสถานการณ์มันมากเกินปกติ ก็ขอให้ทุกคนเข้าใจถึงปัญหา หากเป็นภัยธรรมชาติขนาดใหญ่ หรือไม่ใช่สถานการณ์ปกติแล้ว บางอย่างเราก็แก้ไขด้วยการทำโครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงการพระราชดำริต่างๆ ให้สมบูรณ์เกิดขึ้น ก็จะได้เกิดความยั่งยืนอีกด้วย

ในการนี้ รัฐบาลได้อัญเชิญพระกระแสรับสั่งของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งเกิดอุทกภัยภาคใต้ที่ผ่านมา นับเป็นศาสตร์พระราชา ใส่เกล้าใส่กระหม่อม เพื่อเป็นแนวทางพระราชทาน สำหรับดำเนินการอย่างต่อเนื่องในครั้งนี้ด้วย รวมทั้งสาธารณภัยอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต จะมีอยู่หลายเรื่องด้วยกัน

เรื่องที่ 1. ก็คือการกระจายความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง และทันกาล แม้ในพื้นที่เข้าถึงยาก ก็มีหลายหน่วยงานที่ต้องพยายามเข้าไปให้ถึงให้ได้

2. ดำเนินการอย่างเป็นระบบ และมีการบูรณาการกัน ของทุกหน่วยงาน รวมทั้งภาคเอกชน ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดการซ้ำซ้อน ทั่วถึง และ

3. คือเตรียมพร้อม ให้มีการเฝ้าติดตามสถานการณ์ มีระบบการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า และมีแผนเชิญเหตุที่สมบูรณ์ในทุกสถานการณ์ รวมทั้งให้มีแผนการฟื้นฟู หลังวิกฤตการณ์นั้นๆ อีกด้วย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นแก่พี่น้องประชาชน และเป็นกำลังใจในการทำงานของทุกหน่วยงาน ผมขอเล่าถึงการดำเนินการของภาครัฐที่ผ่านมา โดยสังเขป เราแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ก็คือ ก่อน ระหว่าง หลัง การเกิดอุทกภัย หรือภัยพิบัติต่างๆ ก็ตาม ดังนี้

ขั้นก่อน ก็จะเป็นการติดตาม เฝ้าระวัง และสร้างการรับรู้ให้ประชาชน โดยกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่มีเทคโนโลยีและเครื่องมือมาตรวัด สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลการประเมินสถานการณ์ และพยากรณ์ อันได้แก่ กรมอุตุนิยมวิทยากรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (สสนก.) เป็นต้น

ในการดำเนินการร่วมกันประเมินจุดเสี่ยง และแจ้งเตือนภัย จากน้ำหลาก ดินโคลนถล่ม คลื่นลมทะเลรุนแรง เป็นต้น ผ่านช่องทางการสื่อสารทุกรูปแบบ ทั้งกลไกภาครัฐและผู้นำชุมชนไปจนถึงประชาชนทุกครัวเรือนอย่างต่อเนื่อง เพื่อจะเตรียมการรับมือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนส่วนบุคคลเบื้องต้นและปฏิบัติตามคำแนะนำของทางราชการ ต่อไป รวมทั้ง Infographic โซเชียลมีเดียต่างๆ ของทุกหน่วยงาน ก็ผลิตขึ้นมาเพื่อแนะนำการปฏิบัติของผู้ประสบภัย ให้ปลอดภัยและปลอดโรค เช่น การระวังไฟฟ้า สัตว์เลื้อยคลาน การดูแลยานพาหนะ หาที่จอดรถต่างๆ ที่ไหนได้บ้าง

ในขั้นการเตรียมการ การขับถ่าย การทิ้งขยะ การรักษาสุขอนามัย และการป้องกันโรคระบาดต่างๆ เป็นต้น ที่เป็นประโยชน์ ในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ผมอยากให้พี่น้องประชาชนได้ติดตามนะครับ นำ ความรู้ เหล่านั้น ไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติอีกด้วยนะครับ ขอให้ประชาชนรับฟังข่าวสารจากทางราชการให้มาก การแจ้งของกรมอุตุนิยมวิทยา เพื่อทุกคนจะได้เตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้า

สำหรับขั้นตอนที่ 2 คือ ขั้นระหว่าง ก็ได้แก่ การให้ความช่วยเหลือ ซึ่งดำเนินการบนหลักการสำคัญ ก็คือ จะต้อง ปฏิบัติโดยทันที ไม่ต้องรอสั่งการ เป็นอำนาจการตัดสินใจ ในแต่ละพื้นที่ ซึ่งมอบหมายไปแล้ว อาทิ การระดมทรัพยากร เครื่องจักรกล บุคลากร การจัดกำลังเจ้าหน้าที่ การตั้งศูนย์บรรเทาสาธารณภัยการอพยพประชาชนมายังพื้นที่ปลอดภัย การจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว การช่วยเหลือเพื่อการดำรงชีพ เช่น แจกจ่ายอาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค และเครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ที่จำเป็น เพื่อบรรเทาทุกข์ ทั้งทางกายและจิตใจ เหล่านี้เป็นต้น

ทั้งนี้ ให้ทั้งหมดนั้นบรรจุอยู่ในแผนเผชิญเหตุที่จะต้องมีการเตรียมการล่วงหน้า แล้วปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงที่อาจจะมีการพัฒนาตลอดเวลา ซึ่งในครั้งนี้ผมเห็นว่า สื่อโซเชียลฯ จะต้องมีบทบาทอย่างมาก ในการเผยแพร่ข่าวสารที่มีประโยชน์ต่อผู้ประสบภัย และการทำงานของเจ้าหน้าที่ ผมขอชื่นชมไว้ด้วยนะครับ ณ ที่นี้ แต่สำหรับบางข้อมูล ที่มีการส่งต่อๆ กันไป ซึ่งอาจจะไม่อ้างอิงแหล่งที่มา หรือไม่มีความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล อันนี้ก็ขอให้เป็นบทเรียนในเหตุการณ์ในอนาคต ว่าควร งดส่งต่อ หรือตรวจสอบความถูกต้อง เสียก่อนเสมอ

เนื่องจากจะเป็นอุปสรรคในการทำงาน หรือซ้ำเติมสถานการณ์โดยไม่เจตนาได้ อยากให้เสนอข่าวให้ประชาชนคลายความตื่นตระหนก แล้วก็ให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการแก้ไขปัญหา เป็นกำลังใจเจ้าหน้าที่ ที่ต้องทำงานอย่างหนัก ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ส่วนการเร่งระบายน้ำออกนอกพื้นที่น้ำท่วมนั้น ผมได้มอบนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาแผนการใช้น้ำในอนาคตด้วย เช่น นับตั้งแต่วันนี้ อีก 3 เดือน ก็จะสิ้นสุดฤดูฝน ดังนั้น การระบายน้ำของ 4 เขื่อนหลัก ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ต้องเก็บกักน้ำไว้เพิ่มเติม ราว 5,600 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อให้เพียงพอ สำหรับอุปโภคบริโภค ในภาคการผลิต และรักษาระบบนิเวศ ตามประมาณการความต้องการใช้น้ำ ในปีหน้า 2561 ก็คือ 12,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ด้วย ภูมิภาคอื่นๆ ก็เช่นกันนะครับ ไม่ใช่เห็นน้ำมากก็ผลัก ดันน้ำทิ้งจนหมด ระบายจนหมด ไม่คำนึงถึงการใช้น้ำในอนาคตนะครับ ต้องระมัดระวังไปอีกด้านหนึ่งด้วย ซึ่งต้องสอดคล้องกับสถานการณ์น้ำ ในแต่ละพื้นที่ อีกด้วย

สุดท้าย คือขั้นหลังก็คือเมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง ก็เป็นการปฏิบัติตามแผนฟื้นฟู เพื่อให้พี่น้องประชาชนกลับมาใช้ชีวิตปกติสุขให้ได้โดยเร็วที่สุด เช่น การสำรวจความเสียหาย การซ่อมแซมบ้านเรือน ยานพาหนะ เครื่องมือประกอบอาชีพเกษตรกรรม ประมง ปศุสัตว์ การบูรณฟื้นฟูสิ่งสาธารณูปโภคพื้นฐาน ถนน รางรถไฟ สนามบิน สะพาน ฝาย ทำนบ อ่างเก็บน้ำ ทางระบายน้ำ และสถานที่ราชการ เป็นต้น

ทั้งนี้ ผมได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานได้มีการเร่งสำรวจความเสียหาย ในโอกาสแรกๆ เพื่อแก้ไขในทันที รวมทั้งสนับสนุนให้พลังประชารัฐ ทั้งในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง เช่น เอกชน NGO อาชีวะ จิตอาสาต่างๆได้เข้ามาช่วยเหลือประชาชน เสริมหน่วยงานราชการต่างๆ สำหรับพี่น้องประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการต่างๆ นั้น ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้อนุมัติมาตรการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยดังนี้

1. มาตรการด้านการคลัง อาทิ เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน มาตรการช่วยเหลือผู้เช่าที่ดินราชพัสดุที่ประสบอุทกภัยและภัยพิบัติทางธรรมชาติและอื่นๆ เป็นต้น

2. มาตรการทางด้านการเงิน อาทิ การให้สินเชื่อเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัยที่ได้รับความเสียหาย การพักชำระหนี้ การผ่อนผันและการประนอมหนี้ รวมถึงการบูรณาการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยการเร่งประสานการชดเชยค่าสินไหมทดแทน กรณีทรัพย์สินที่เอาประกันภัยได้รับความเสียหาย เป็นต้น

3. มาตรการภาษี ได้แก่ การยกเว้นภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมอสังหาริมทรัพย์ยานพาหนะ รายละเอียดตามหน้าจอ ซึ่งโฆษกรัฐบาลได้แถลงข่าวไปแล้ว และ การส่งเสริมให้บุคคลธรรมดา บริษัทห้างหุ้นส่วน นิติบุคคล ได้ร่วมกันบริจาคเงินหรือทรัพย์สิน ผ่านกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี รายละเอียดตามหน้าจอ

โดยในส่วนของรัฐบาลนั้น ได้จัดงานประชารัฐร่วมใจ ใต้ร่มพระบารมี ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเปิดรับบริจาคเงินเข้ากองทุนฯ ดังกล่าว เมื่อช่วงเย็นวันนี้ด้วย

และ 4. โครงการสินเชื่อฟื้นฟู SMEs จากอุทกภัยและภัยพิบัติ ปี 2560 ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) รายละไม่เกิน 15 ล้านบาท อีกด้วย ทั้งนี้ ผมอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานเชิงรุก โดยสร้างกลไกในการทำงานเพิ่มเติม เฉพาะกิจ เฉพาะกาลแบบเดินเข้าไปหา และให้บริการพี่น้องประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ ให้ได้รับความสะดวกที่สุดให้รู้ช่องทางที่จะเข้ามาติดต่อนะครับ โดยเฉพาะช่วงนี้ ในช่วงที่ทุกคนเพิ่งผ่านความยากลำบากในชีวิต มาด้วยกัน

สำหรับในการลงพื้นที่ของผม เพื่อให้กำลังใจพี่น้องผู้ประสบภัย และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ จ.สกลนคร ที่ผ่านมานั้น ผมดีใจชื่นใจที่เห็นรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ยิ้มสู้ของพี่น้องประชาชน หลังจากที่ทุกคนได้ผ่านประสบการณ์ทุกข์ยากมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่เสียกำลังใจ ขอชื่นชมเจ้าหน้าที่ จิตอาสา และทุกภาคส่วน ที่ร่วมกันทำงานเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับพี่น้องประชาชน และอยากจะขอให้ทุกคนร่วมมือร่วมใจกันในการแก้ไขปัญหาทุกๆ เรื่อง ทุกๆ อย่าง ให้ประสบผลสำเร็จ และผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เพื่อจะพร้อมใจกันเดินหน้าประเทศไทยของเราต่อไป ผมอยากให้การทำโครงการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาล ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ระยะยาวให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมให้ได้ จะเป็นการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน เพื่อจะแก้ปัญหาฝนแล้ง น้ำท่วมได้ หลายๆ โครงการที่เราวางไว้เดินหน้าต่อไปไม่ได้ เพราะติดที่ดินเอกชน เกษตรกร ซึ่งอาจจะไม่เข้าใจ ทำให้ดำเนินการได้ไม่ต่อเนื่อง คงต้องร่วมกันพิจารณาว่า จะหาทางออกกันอย่างไร เช่น ในเรื่องของการผันน้ำฝั่งตะวันตก ตะวันออก ลงสู่ทะเล คูคลองลัด เพื่อจะลดระยะทาง การระบายน้ำ เหล่านี้เป็นต้น

มีแผนงานเหล่านี้อยู่แล้ว แต่ประชาชนที่มีส่วนได้ส่วนเสียมีอยู่เป็นจำนวนมาก มีทั้งยอม ไม่ยอม ทำให้ล่าช้า แก้ปัญหายั่งยืนไม่ได้สักที ทั้งนี้เราต้องไปดูผังเมืองด้วย ถ้าเราสามารถที่จะทำให้ได้มากที่สุดในเรื่องของการระบายน้ำ การก่อสร้างอะไรต่างๆ ทั้งวันนี้ และอนาคต มันถึงจะเกิดผลเป็นรูปธรรม ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่ารัฐบาลไม่แก้ไข หรือแก้ไขไม่ได้อีก มันต้องแก้ไปด้วยกัน รัฐบาลทำคนเดียวไม่ได้อยู่แล้ว

พี่น้องประชาชนที่รัก สำหรับเส้นทางการเดินหน้าประเทศตามโรดแมปของ คสช.นั้น ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น เรียกได้ว่ามีก้าวย่างที่สำคัญ นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ได้ผ่านการลงประชามติ และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ปวงชนชาวไทย บัดนี้ พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ.2560 และ พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ.2560 มีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งย่อมเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับชาวไทยทั้งชาติ และชาวโลกได้เห็นพัฒนาการที่ดีของเรา ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ก็คือ การตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ และคณะกรรมการปฏิรูปในแต่ละด้าน เพื่อเข้ามาดำเนินการจัดทำร่างแผนการปฏิรูปประเทศ และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติมอบหมาย ทั้งนี้ ด้วยเวลาอันเป็นข้อจำกัดในการทำงานดังกล่าว

ดังนั้น เพื่อความรอบคอบรัฐบาล และ คสช.ได้มีการเตรียมการล่วงหน้า ในส่วนที่สามารถดำเนินการได้ สำหรับการบรรลุผลสำเร็จ ตามที่พวกเราทุกคนคาดหวัง โดยที่ผ่านมาได้สนับสนุนการทำงานของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูปแห่งชาติ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ทำการศึกษารับฟังความเห็น และทำข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปประเทศต่างๆ ไว้ สำหรับเป็นข้อมูลพื้นฐานในการทำงานต่อเนื่องของคณะกรรมการใหม่ดังกล่าวทั้ง 2 คณะ ตามรัฐธรรมนูญ วันนี้เราทำการปฏิรูประยะที่ 1 ไปแล้ว ซึ่งเป็นรายละเอียดปลีกย่อยข้างล่างที่จะต้องทำให้สมบูรณ์เสียก่อนถึงจะไปแก้ปัญหาปฏิรูปเรื่องใหญ่ๆ ได้ สิ่งที่ผมเห็นว่ามีส่วนสำคัญอย่างมากในการปฏิรูปก็มีอยู่ 2 ประการ คือ

1.การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทุกสาขาอาชีพ ทุกเพศ ทุกวัย ในฐานะที่เป็นเจ้าของประเทศ เป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด ผมอยากจะให้ผู้อาวุโสได้ใช้ประสบการณ์และวิสัยทัศน์ ร่วมกับคนรุ่นใหม่ให้ได้ใช้ความริเริ่ม สร้างสรรค์ และพลังอันบริสุทธิ์ ได้ร่วมกันสร้างอนาคตของประเทศ เพื่อลูกหลานไทยในอนาคต เราต้องฟังคนรุ่นใหม่ด้วย โดยช่องทางการมีส่วนร่วม และรับฟังความคิดเห็นนั้น จะต้องเปิดกว้างและทั่วถึงทั้งกลไกปกติของภาครัฐ ช่องทางการสื่อสารต่างๆ รวมทั้งสื่อออนไลน์ เพื่อจะเปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีส่วนร่วม ขอให้ติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง โดยกรรมการทุกท่านจะต้องมีคุณสมบัติเป็นทั้งนักคิด เป็นนักวิชาการ และจะต้องเป็นนักปฏิบัติด้วย เพราะปัญหาอยู่ที่การขับเคลื่อน แล้วความขัดแย้งหลายอย่าง ความเห็นต่าง บางอย่างมันก็ยากมากเกินไปที่ทุกคนจะเข้าใจได้ ทุกอย่างเหล่านี้จะเป็นปัญหาทำให้การปฏิรูปของเราไม่สำเร็จ ที่ผ่านมาก็มีหลายอย่างที่สำเร็จไปแล้วในรายละเอียดปลีกย่อยใหญ่ๆ น่าจะยังมองดูว่ายังช้าอยู่ แต่ทุกอย่างจะต้องแก้จากเล็ก มันถึงจะไปแก้ใหญ่ๆ ได้ ถ้าเราคิดจะทำอันใหญ่ โดยที่ไม่แก้เล็กๆ ข้างล่าง มันไปไม่ได้หรอกครับ เพราะเป็นกิจกรรมร่วมกันทั้งหมดยึดโยงด้วยกัน

เรื่องที่ 2 การจัดทำและการบังคับใช้กฎหมาย ที่คงไม่เป็นเพียงจะเป็นแค่พื้นฐานของการปฏิรูปประเทศ ยังเป็นการสร้างความปรองดองของคนในชาติอีกด้วย ทุกคนมาอยู่ภายใต้กฎหมายอันเดียวกัน เคารพกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมเป็นธรรม เพราะว่าถ้าไม่มีการละเมิดกฎหมาย ไม่มีการละเมิดสิทธิผู้อื่น มันจะไม่มีความขัดแย้งนะครับ เจ้าหน้าที่ก็ไม่เสียหาย ประชาชนก็ไม่เดือดร้อน ประเทศก็มีเสถียรภาพ และจะพร้อมสำหรับการพัฒนา แล้วเดินหน้าไปสู่การปฏิรูปในทุกๆ เรื่องที่กล่าวมาแล้ว

อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปที่ต้องเปลี่ยนแปลงครบวงจร จะยิ่งเกิดปัญหาอยู่กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด ทำให้เดินไปได้ช้า ผมเองไม่อยากใช้กฎหมายบังคับให้มากจนเกินไป เพียงแต่ขอความเข้าใจ ขอความร่วมมือว่าเราจะต้องทำอะไรร่วมกันบ้าง ที่ผ่านมานั้นรัฐบาล และ คสช.ได้ให้ความสำคัญกับกฎหมายและกระบวนยุติธรรมมาโดยตลอด เนื่องจากผมเห็นว่า นอกจากจะเป็นการสร้างนิติรัฐ นิติธรรมในสังคมไทยแล้ว ก็ยังเป็นรากฐานสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งทุกคนต้องเคารพกฎหมาย และยึดมั่นในทั้ง 3 อำนาจอธิปไตยคือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ที่สามารถตรวจสอบถ่วงดุลกัน และเป็นอิสระ ไม่ก้าวล่วงอำนาจซึ่งกันและกัน

ยกตัวอย่างการผลักดันกฎหมายใหม่ๆ ที่จำเป็นต่อการแก้ปัญหาความเดือดร้อน และลดความเหลื่อมล้ำของประชาชน การปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของหน่วยงานราชการ การปฏิบัติตามสนธิสัญญา และความตกลงระหว่างประเทศ รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการปฏิรูปประเทศอีกด้วย ปัจจุบันมีผลบังคับใช้แล้วเกือบ 200 ฉบับ ภายในเวลา 2 ปี เฉลี่ยแล้วเราทำต่อปีมากกว่า ช่วง 7 ปี ก่อนที่ คสช. เข้ามาบริหารประเทศถึง 7 เท่าตัว

สำหรับตัวอย่างของการปฏิรูปประเทศในกรอบเล็ก ก่อนที่จะมีคณะกรรมการปฏิรูปตามรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งจะเป็นการปฏิรูปในกรอบใหญ่ ต่อไปนั้น รัฐบาลได้ดำเนินการในหลายส่วนเท่าที่จะทำได้ จากข้อเสนอแนะของทั้ง สปท. และ สปช.ที่ผ่านมา โดยทำในทันทีรับฟังความคิดเห็นจากที่อื่นด้วย อาทิเช่น การปรับเปลี่ยนการเกษตรใน จ.สระแก้ว ซึ่งเป็นจังหวัดเดียวที่ประกาศภัยแล้งกว่า 100,000 ไร่ เป็นจังหวัดที่ใกล้ชายแดน เป็นพื้นที่ราบๆ ไม่มีแหล่งน้ำบนเขา ไม่มีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่าน ทำการเกษตรโดยอาศัยน้ำฝนเท่านั้น ถ้าฝนไม่ตกก็ไม่มีน้ำ แล้วเราจะเอาน้ำจากที่ไหน เจาะบาดาลก็เจาะไม่ได้มากนัก บางพื้นที่ก็ไม่มีเลย สร้างคลองชลประทานได้ก็ไม่คุ้มค่า ผลผลิตข้าวเพียง 380 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี ในขณะที่ผลผลิตข้าวในภาคกลาง เช่น ชัยนาท 700-800 กิโลกรัมต่อไร่ต่อฤดูกาล ไม่ใช่ต่อปีนะครับ ซึ่งคุ้มค่ากว่ากันมากมาย เมื่อใช้อะกรีแมปสำรวจแล้วพบว่า ทั้งน้ำ ดิน อากาศ รวมทั้งตลาดก็ไม่เหมาะที่จะไปปลูกพืชอย่างอื่น เพราะไม่มีน้ำ จึงเป็นที่มาของโครงการโคบาลบูรพา ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเป็นการเลี้ยงปศุสัตว์ด้วยที่ตั้ง จ.สระแก้วอยู่ใกล้ชายแดนเชื่อมต่อแหลมฉบัง เชื่อมต่อกับกรุงเทพคล้ายๆ กับฟาร์มโชคชัย ปากช่อง โคราช

นอกจากนี้ ตลาดปศุสัตว์บ้านเรายังขาดแคลนอีกมาก เพราะเมื่อ 10 ปีก่อน เรามีโคเหลืออยู่ 8 ล้านตัว ปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 4 ล้านตัว และหากไม่ได้เลี้ยงเพิ่มจะเป็นปัญหา แต่อาศัยซื้อมาเพิ่มตลาดโคเนื้อจึงขาดแคลน เพราะฉะนั้นแนวคิดโคบาลบูรพานี้ จะมี 3 กิจกรรมสำคัญคือ

1.ธนาคารโคเนื้อ ที่ไม่ใช่ให้กู้ยืมเงินแต่เป็นการให้ยืมโคเนื้อตัวผู้ - ตัวเมีย เลี้ยงเป็นคู่ ประมาณครึ่งปีออกลูกมาทยอยใช้หนี้เป็นลูกวัว สำหรับเกษตรกรรายอื่นเอาไปเลี้ยงบ้าง

2.การลดพื้นที่การทำนาข้าวแล้วหันมาปลูกพืชอาหารโคเนื้อแทน เช่น หญ้า ข้าวโพด มันสำปะหลัง โดยทยอยลดพื้นที่ สมมุติว่าเดิมท่านทำนาไม่ได้ผล 15 ไร่ ก็มาทำฟาร์มโคเนื้อ โดยลดการทำนาลงปีละ 5 ไร่ มาปลูกข้าวโพดเพียง 3 ปี จะลดพื้นที่การทำนาที่ไม่คุ้มค่าได้ 100% และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม ซึ่งอาจจะทำให้ผลกำไรที่ดีกว่า เช่น ด้วยการเลี้ยงโคเนื้อ และทุ่งหญ้า ไร่ข้าวโพด เป็นต้น

และ 3.การรวมกลุ่มเกษตรแปลงใหญ่ทำปศุสัตว์ร่วมกัน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิต ทั้งการหาซื้อเมล็ดพันธุ์ และการเช่าเครื่องจักรกล อีกทั้งช่วยส่งเสริมความเข้มแข็งภายในกลุ่มมีอำนาจต่อรอง มีพลังในการริเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ ง่ายขึ้น ปัจจุบันมีเกษตรกรผ่านการคัดเลือกเพื่อเข้าร่วมโครงการแล้ว 6,100 ราย ปรับเปลี่ยนการเกษตรแล้ว 30,000 ไร่ จาก 100,000 ไร่ เพื่อจะปลูกพืชอาหารสัตว์ และในเดือนตุลาคมนี้จะมีการมอบโคเนื้อและแพะให้เกษตรกรที่สมัครใจเข้าร่วมในโครงการด้วย ในอนาคต จ.สระแก้ว จะกลายเป็นเมืองโคเนื้อ หรือโคบาลบูรพา

ส่วนพื้นที่แล้งซ้ำซาก 1 แสนไร่ จะกลายเป็นทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ หาม้ามาให้เช่าขี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวก็ได้ และรัฐบาลไม่ต้องหว่านเงินแก้ปัญหาภัยแล้งให้ชาวนา จ.สระแก้วอีกต่อไป ถ้าเป็นไปได้ตามนั้นเราจะประหยัดได้อีกไม่รู้เท่าไร คงต้องอาศัยเวลาบ้าง แต่จะแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน ไม่ต้องมีการประท้วง ไม่ต้องมีการซื้อเสียง ไม่มีการทำประชานิยมที่ไม่เป็นประโยชน์ ให้รัฐบาลเอาเวลาไปแก้ปัญหาอย่างอื่นที่สำคัญ และยากๆมากกว่านี้ได้เต็มที่

พี่น้องประชาชนทุกท่าน การช่วยเหลือและสนับสนุนพี่น้องเกษตรกรให้มีรายได้ที่มั่นคง ยั่งยืน เป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนมาทุกยุคทุกสมัย รัฐบาลนี้ และ คสช.ก็เช่นกัน ด้วยความเชื่อที่ว่า การกระจายรายได้อย่างทั่วถึงจะเป็นการลดความเหลื่อมล้ำของพี่น้องประชาชน จะทำให้ประเทศสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน มีความสงบสุขมั่นคง

พี่น้องประชาชนครับ เมื่อเราพูดถึงภาคเกษตร เรากำลังหมายถึงภาคการผลิตที่สำคัญของประเทศที่คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 8 ของรายได้รวมทั้งหมดของประเทศ ซึ่งเรากำลังหมายถึงพี่น้องเกษตรกรที่มีถึง 25.07 ล้านคน หรือร้อยละ 38.14 ของประชากรไทย ที่ผ่านมาภาคเกษตรของไทยต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆมากมาย ทั้งเรื่องดิน ฟ้า อากาศ และความผันผวนของราคาพืชผลต่างๆ ทำให้พี่น้องเกษตรกร รวมทั้ง เศรษฐกิจของประเทศมีรายได้ที่ยังไม่มั่นคงนัก นอกจากนั้น โลกเปลี่ยนแปลงไปอีกมาก ทั้งด้านเศรษฐกิจ ที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้า ด้านสังคม ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ในการดำรงชีวิต และการผลิต รวมถึงด้านสิ่งแวดล้อม ที่ได้รับผลอย่างมาก จากภาวะโลกร้อน

อีกประเด็น การเปลี่ยนแปลงสำคัญ ก็คือการที่ประชากรในภาคเกษตรมีแนวโน้ม เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้นทุกปี โดยพบว่า สมาชิกครัวเรือนเกษตรกร ที่อายุมากกว่า 64 ปีขึ้นไป เคยอยู่ที่ร้อยละ 7 ในช่วงปี 2540 – 2544 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 11 แล้วในปี 2555 - 2559 ถ้าวัดกันที่อายุเฉลี่ย พบว่าเกษตรกรไทยมีอายุเฉลี่ยที่ 58 ปี ซึ่งเทียบกับเวียดนามมีเกษตรกรที่มีอายุเฉลี่ยเพียง 39 ปี

ปัญหาเหล่านี้อาจจะส่งผลให้แรงงานในภาคเกษตรของไทยลดลงมาก อีกทั้งลูกหลานในภาคเกษตรเอง ก็อาจจะไม่สนใจที่จะมาทำอาชีพเกษตรกรเหมือนพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย แต่สนใจที่จะทำงานในภาคอุตสาหกรรม หรือภาคท่องเที่ยวบริการแทน โดยเฉพาะภาคการบริการ เช่น การค้าขาย โรงแรม ภัตตาคาร ที่เห็นว่ามีแรงงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัญหาแรงงานลดลงนี้ จะทำให้ศักยภาพการผลิต และ ความสามารถในการแข่งขันของภาคเกษตรไทยปรับลดลงต่อเนื่อง ดังนั้น เราคงไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ ด้วยมาตรการระยะสั้นอีกต่อไป โดยการช่วยเหลือเยียวยารายได้ของพี่น้องเกษตรกร แต่เพียงอย่างเดียว เราต้องคำนึงถึง การสร้างภูมิคุ้มกัน ระยะยาวเพื่อให้เกษตรกรสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง ที่กำลังถาโถมเข้ามารอบด้านได้ด้วย

ทางที่ดีที่สุด ก็คือการพัฒนาคนในภาคเกษตร ให้เข้มแข็ง ให้มีคุณภาพ มีความรู้รอบตัวรอบด้านมากขึ้น มีทักษะที่เหมาะสม ทำด้วยใจรัก พี่น้องเกษตรกรสามารถใช้ข้อมูลข่าวสาร ด้านการผลิต ราคา และสภาพตลาด เป็นเครื่องมือเข้ามาช่วยได้ เข้ามาเสริมการทำธุรกิจให้ได้มากขึ้น อีกทั้งยังต้องมีการสร้างค่านิยม เพื่อให้ประชาชนเห็นคุณค่าของอาชีพเกษตรกรรม รัฐเอง ก็ต้องเข้าไปเสริมในเรื่องการสนับสนุนองค์ความรู้ การใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมในการผลิตด้วย

ทั้งนี้ รัฐบาลมีแผนในการสร้างเกษตรกรยุคใหม่ ซึ่งจะต้องดำเนินการให้สอดคล้อง กับแต่ละกลุ่มคน เราแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่

1. กลุ่มบัณฑิตใหม่ที่จบสาขาเกษตร มีความรู้ แต่ก็ไม่ได้เข้ามาเต็มตัว เพราะอาจจะขาดปัจจัย เช่น ที่ดิน หรือเงินทุน และโอกาส ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพ เราจะให้การสนับสนุนปัจจัย และจัดหาที่ดินทำกิน เพื่อสร้างโอกาสให้กลุ่มนี้ อาจจะมีการรวมกลุ่มกันสร้างฟาร์ม หาที่ดินให้อะไรให้ทำนองนี้ เพื่อสร้างเป็นตัวอย่างเพื่อให้มีผลผลิตออกมาเพื่อขยายไปสู่ประชาชนหรือเกษตรกรโดยทั่วไปด้วย

2. กลุ่มเกษตรกรเดิม และลูกหลานเกษตรกร ซึ่งผมเห็นว่าเป็นกลุ่มที่ ต้องให้ความสำคัญ เพราะเป็นผู้ที่มีพื้นฐาน และมีความพร้อมอยู่แล้วในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม เราจะต้องมุ่งสร้างค่านิยม ให้คนกลุ่มนี้เห็นคุณค่าของอาชีพเกษตรกรรม รวมถึง สร้างความมั่นคงด้านรายได้ ลดหนี้สินให้ได้ ตลอดจน สนับสนุนองค์ความรู้ด้านการเกษตรอย่างครบวงจร มีการใช้ระบบข้อมูล เทคโนโลยี เพื่อจะจัดกระบวนการผลิต และลดความเสียหาย ที่เกิดจากภัยพิบัติธรรมชาติให้ได้มากที่สุด ให้มีการเลือกผลิตสินค้าเกษตรที่มีโอกาสทางการตลาด คือ ปลูกแล้วก็ขายในสิ่งที่ตลาดต้องการ อย่าไปคิดปลูกเองแล้วอยากจะขายให้ได้ราคาดี มันเป็นไปไม่ได้

3. กลุ่มที่อยู่ภาคการผลิตอื่น หรือ ผู้สนใจจะเข้าสู่ภาคเกษตร ซึ่งต้องเน้นการให้ความรู้ และคำปรึกษาในการผลิต แนวทางเหล่านี้ อยู่บนพื้นฐานการวิเคราะห์ข้อมูล และบทเรียนของเกษตรกรรุ่นใหม่

รวมถึงการสำรวจความเห็นของเกษตรกรในพื้นที่ต่างๆ ที่พบว่า องค์ประกอบสำคัญในการผลักดันการสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ ให้ประสบผลสำเร็จนั้น ได้แก่

1. เกษตรกรต้องมีใจรักในอาชีพเกษตรกรและ ใฝ่เรียนรู้ตลอดเวลา ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่จะทำให้เกิดความทุ่มเท เอาใจใส่ และ มีความสุขกับสิ่งที่ทำ

2. การสร้างแรงจูงใจและการเพิ่มศักยภาพการทำเกษตร สนับสนุนให้เกษตรกรที่ทำการเกษตรอยู่แล้ว หรือเกษตรกรที่เข้ามาใหม่ มีความสนใจและพร้อมทำการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ

3. การสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่เข้าสู่การทำการเกษตร โดยทุกภาคส่วน ไม่ว่ารัฐ หรือเอกชน ควรร่วมจะกันสนับสนุน และผลักดัน กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนให้เกิดเกษตรกรรุ่นใหม่ๆ เพื่อสืบสานอาชีพเกษตรกรรม ที่เป็นอาชีพสำคัญของประเทศนี้ แต่จะต้องทำอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมากยิ่งขึ้นด้วย

4. การยกย่องเชิดชูเกียรติ และประกาศเกียรติคุณกับเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จเพื่อเป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้กับเกษตรกรที่มีความตั้งใจประกอบอาชีพ ในการสร้างแรงบันดาลใจ ให้กับเกษตรกรรุ่นใหม่ๆ หรือผู้ที่สนใจจะเข้ามาทำอาชีพเกษตรกรต่อไป

พี่น้องประชาชนครับ การสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่นี้ ต้องเร่งดำเนินการโดยเร็ว เพื่อให้สามารถชดเชยแรงงานพี่น้องเกษตรกรที่ลดลงให้ได้มากที่สุด ซึ่งจำเป็นจะต้องอาศัยความร่วมมือ และการผลักดันร่วมกัน ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน ก็เป็นที่น่ายินดี ที่องค์กรในภาคเอกชนหลายแห่ง ได้ให้การสนับสนุนนโยบายพัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นอย่างดี มีการจัดกิจกรรมหรือโครงการฝึกอบรม ให้การสนับสนุนเทคโนโลยี มีการจัดการประกวดกระบวนการพัฒนานวัตกรรม และการสรรหาเกษตรกรต้นแบบ ที่มีศักยภาพในการเป็นผู้นำเกษตรกรยุคใหม่ เป็นต้น

ผมขอยกตัวอย่างที่น่าสนใจของเกษตรกรรุ่นใหม่ ที่ประสบความสำเร็จแล้ว เช่น กรณีของ นายดำ ขยันยิ่ง เกษตรกรต้นแบบ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เรื่องการเกษตรแบบอินทรีย์ แล้วนำมาปรับความคิดของตน เริ่มจากการปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อจะเพิ่มธาตุอาหารในดิน สลับกับการปลูกข้าวหอมมะลิอินทรีย์ ทำให้สามารถพลิกชีวิตตัวเอง จากชาวนาที่เคยประสบปัญหาหนี้สิน ที่ดินถูกยึด จนกลายมาเป็นเกษตรกรที่ได้รับชื่อว่า เป็นผู้นำของการผลิตข้าวหอมมะลิอินทรีย์ แห่ง อ.ลำปลายมาศ ที่ช่วยเหลือเพื่อนบ้านและชุมชน ผันตัวเข้ามาสู่ วิถีเกษตรอินทรีย์ ด้วย การทำเกษตรทฤษฎีใหม่ ผสมผสานและการเลี้ยงสัตว์ จะช่วยเพิ่มรายได้ขึ้นอย่างแน่นอน มากกว่าเรายังคงปลูกพืชเชิงเดี่ยว มีความเสียหายจากน้ำท่วม ฝนแล้ง อยู่ตลอดเวลา ไม่ได้กำไร ไม่เหลือเงิน เราจะต้องทำหลายๆ อย่างประกอบกันเพื่อจะได้เลี้ยงดูตัวเองได้ในระหว่างที่สัตว์ยังไม่โต หรือต้นไม้ยังไม่ออกผล เราต้องลดค่าใช้จ่ายภายในครัวเรือนให้ได้ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องทำให้เกิด เกษตรผสมผสาน ตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เรื่องเกษตรทฤษฎีใหม่ก็มี อะไรก็มี ทั้งหมดนะครับ

นอกจากนี้ รัฐบาลก็มีการดำเนินการให้แต่ละหน่วยงานดำเนินการไปพร้อมๆ กันด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งล่าสุด กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก็ได้จัดทำโครงการพัฒนาเกษตรกรด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (InnoAgri) เหมือนกับ Agri Map นะครับ อันนี้ก็เป็นเรื่องของอินโนเวชั่น คือนวัตกรรม เป็นแผนที่ทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม นะครับพูดง่ายๆ

ก็จะเป็นการสร้างโอกาสให้มีการนำผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม ไปใช้เพื่อสนับสนุนการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันภาคการเกษตรของประเทศ สอดคล้องกับทิศทางของประเทศไทย 4.0 ภายใต้แนวทางการปรับเปลี่ยนการเกษตรแบบเดิม ที่ใช้แรงงานเป็นหลัก ไปสู่การพัฒนาด้วยระบบบริหารจัดการ และการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ หรือ Smart Farming ก็ได้มีการคัดเลือกเกษตรกร โดยสภาเกษตรกรแห่งชาติ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ซึ่งดำเนินการผ่าน 3 รูปแบบ อันได้แก่

1. ยกระดับเกษตรกร เป็นเกษตรกรไฮเทค ที่สามารถจะนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เหมาะกับยุคใหม่ ไปใช้สำหรับการลดต้นทุน และเพิ่มรายได้

2. ยกระดับเกษตรกรเป็นผู้ประกอบการธุรกิจเกษตร สำหรับสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์จากผลิตผล และ

3. การสนับสนุนการสร้างเกษตรนวัตกรรมยั่งยืน ด้วยการสร้างชุมชนเกษตรนวัตกรรม ที่มีความสามารถในการนำวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มผลิตภาพการผลิต ตลอดห่วงโซ่คุณค่า ซึ่งที่ผ่านมา มีผู้เข้าร่วมโครงการมากกว่า 6,000 รายแล้ว และทางกระทรวงฯ จะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ก็ขอให้ผู้สนใจคอยรับฟังข่าวสาร เพื่อจะเข้าร่วมและใช้ประโยชน์จากโครงการให้ได้อย่างเต็มที่ ปากต่อปากบอกกันไปนะครับ ชักชวนเพื่อนกันเข้ามา ไม่งั้นมันก็ไม่เกิดเป็นจำนวนมากๆ มันก็ไม่ได้ผลที่ชัดเจนออกมา

พี่น้องประชาชนครับ อนาคตของประเทศไทยในอีก 20 ปีข้างหน้า และต่อๆ ไป เราจะต้องการนวัตกรรมของเราเอง แทนการพึ่งพา หรือการจัดซื้อนวัตกรรมของต่างชาติมาใช้ ซึ่งจะทำให้เราไม่มีวันที่จะเข้มแข็งได้ หรือเราก็ไม่มีขีดความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นมาได้

ทั้งนี้ การริเริ่มสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ นั้น ผมอยากให้เริ่มจากเรื่องง่ายๆ จากวิถีชีวิต จากปัญหาที่เราต้องประสบอยู่ทุกวัน แต่สามารถแก้ไขได้ด้วยนวัตกรรมของเราเอง ของคนไทย ที่จะสามารถแก้ปัญหาที่ยั่งยืนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีรายได้น้อย เขาไม่มีกำลังทรัพย์ที่จะไปซื้อหาอะไรได้มากนัก ช่วยเขาดูตรงนั้น คิดค้นสิ่งต่างๆ เหล่านี้มาที่มันจะประหยัดค่าใช้จ่ายลง อาทิ เครื่องไม้เครื่องมืออะไรต่างๆ ที่เราทำเองได้ ราคาถูกลง เหล่านี้ เราต้องเร่งการพัฒนาวิจัยออกมาให้ได้ แล้วก็ใช้เป็นจำนวนมากได้ด้วย ทุกพื้นที่

ยกตัวอย่างโครงการ TAXI OK อีกเรื่อง ของกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เพื่อจะแก้ปัญหามาตรฐานการให้บริการของแท็กซี่ส่วนบุคค และแท็กซี่สหกรณ์ ที่มีการร้องเรียนเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง เช่น การปฏิเสธรับผู้โดยสาร ไม่กดมิเตอร์ พูดจาไม่สุภาพ ขับรถเร็วและประมาท ถึงแม้ว่ากรมการขนส่งทางบกจะออกตรวจจับ บังคับใช้กฎหมาย ลงโทษขั้นสูงสุดทุกกรณี ควบคู่มาตรการพักใช้ การเพิกถอนใบอนุญาตขับรถแล้วก็ตาม ก็ยังเกิดขึ้นอยู่บ้าง โดยแนวทางในการพัฒนายกระดับมาตรฐานในการให้บริการรถแท็กซี่ของเรานั้น ตามโครงการนี้ จะประกอบไปด้วย

1. การพัฒนาระบบเรียกบริการรถแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์สมาร์ทโฟน สามารถเรียกใช้บริการรถแท็กซี่ทุกคันที่ร่วมโครงการ โดยผ่านการจดทะเบียน ณ ศูนย์ให้บริการรถแท็กซี่ ตรวจสอบด้วยนะครับ

2. การติดตั้งอุปกรณ์สำคัญ ให้รถแท็กซี่ในโครงการทุกคัน ได้แก่ มาตรค่าโดยสารที่ต้องเชื่อมโยงข้อมูลกับเครื่องบันทึกข้อมูลการเดินทางของรถ ซึ่งประกอบด้วยอุปกรณ์ GPS-Tracking อุปกรณ์แสดงตัวตนผู้ขับรถ ที่สามารถจะส่งข้อมูล ระยะทาง เวลา พิกัด ตำแหน่งรถ เส้นทางการเดินทาง ความเร็วรถ ค่าโดยสารจากมิเตอร์ พร้อมมีระบบตรวจสอบตัวตนผู้ขับรถได้อีกด้วย กล้องบันทึกภาพเหตุการณ์ภายในรถ แบบ Snap Shot และปุ่มฉุกเฉิน ที่สามารถส่งการแจ้งเตือนกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน

3. การสร้างเครือข่ายศูนย์ให้บริการรถแท็กซี่ ที่เป็นหน่วยงานกลาง ระหว่างกรมการขนส่งทางบก กับรถแท็กซี่ ในการบริหารจัดการเดินรถ และการให้บริการติดตาม กำกับ รับเรื่องร้องเรียน และแจ้งเหตุต่างๆ รวมทั้งส่งข้อมูลไปยังศูนย์บริการจัดการรถแท็กซี่ ของกรมการขนส่งทางบก และ

4. การจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการรถแท็กซี่ของกรมการขนส่งทางบก เพื่อที่จะทำหน้าที่ควบคุม และกำกับดูแลศูนย์ให้บริการรถแท็กซี่ของผู้ประกอบการเอกชนต่างๆ ให้เป็นไปตามที่กรมการขนส่งทางบกได้กำหนด โดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาบริหารการจัดการ ได้แก่ ระบบติดตามตำแหน่งรถ เส้นทางการเดินรถ ความเร็วของรถ ติดตามภาพเหตุการณ์ภายในรถ ระบบพิสูจน์ตัวตนพนักงานขับรถ บันทึกพฤติกรรมพนักงานขับรถ และระบบจัดเรทติ้งศูนย์ให้บริการรถแท็กซี่ เพื่อให้เกิดการแข่งขันกันในการให้บริการแก่ประชาชน

ทั้งนี้ การดำเนินการโครงการ Taxi OK ถือเป็นมิติใหม่ของการยกระดับมาตรฐานการให้บริการแท็กซี่ตามนโยบายประเทศไทย 4.0 ภายใต้กลไกความร่วมมือประชารัฐ โดยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการควบคุม กำกับ ดูแล และบริหารบริการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่ออำนวยความสะดวก ให้มีความปลอดภัยในการใช้บริการ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเดินรถ ติดตามพฤติกรรมผู้ขับรถตลอดการให้บริการ และยกระดับมาตรฐานการให้บริการรถแท็กซี่ได้อย่างยั่งยืน

ก็ขอร้องบรรดาสมาคมแท็กซี่ หรือสหกรณ์แท็กซี่ไทยต่างๆ ก็ต้องให้ความร่วมมือ เพื่อเราจะได้มีการควบคุมคุณภาพรถ คนขับรถ ให้ดีด้วย เกิดความไว้เนื้อเชื้อใจกับผู้รับบริการ ผู้ใช้บริการ

สุดท้ายนี้ เพื่อจะเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา 12 สิงหาคม 2560 มูลนิธิสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ร่วมกับ 25 องค์กร ที่ดำเนินโครงการสนองพระราชดำริในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะจัดงาน "สีสันพรรณไม้ เทิดไท้บรมราชินีนาถ" ครั้งที่ 11 ขึ้น ภายใต้แนวคิด "ด้วยพระเมตตาดั่งสายธาร" ระหว่างวันที่ 9 -14 สิงหาคม ศกนี้ ณ สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้ตระหนักถึงพระราชกรณียกิจในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพ ที่เป็นพื้นฐานสำคัญของการดำรงชีวิต ล้วนเพื่อประโยชน์สุขแก่ปวงชนมาอย่างต่อเนื่อง และยาวนาน จนเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยได้รับการถวายพระราชสมัญญานาม "พระมารดาแห่งการคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพ"

ดังนั้น ผมขอเชิญชวนพวกเราทุกคนร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการจะสืบสานพระราชปณิธานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้วยการไปร่วมในงานดังกล่าว หรือ การใช้ชีวิตประจำวันของเรา นอกจากนี้ ผมขอเชิญชวนปวงชนชาวไทย ร่วมในโครงการ "ประชารัฐร่วมใจปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน" บนพื้นที่ของท่าน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่สาธารณะ พื้นที่ป่า พื้นที่รัฐ ที่ทางราชการกำหนด โดยเริ่มดำเนินการพร้อมกันทั้งประเทศ ในวันที่ 7 สิงหาคม และเรื่อยไปจนถึง 30 กันยายนนี้ ทั้งนี้ ก็เพื่อจะเป็นการรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9

รวมทั้งรณรงค์ ส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ได้ร่วมกันปลูกต้นไม้ เพื่อจะเป็นการเสริมสร้างความรัก ความสามัคคี และร่วมกันกระทำความดีให้กับประเทศชาติ ที่สำคัญเพื่อเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์ต้นไม้ และทรัพยากรป่าไม้ แก่ชนรุ่นหลัง ผมอยากให้ทุกคนที่ร่วมในกิจกรรมปลูกต้นไม้นี้ ได้ภาคภูมิใจในการที่จะรดน้ำ พรวนดิน บำรุงรักษา ดูแลต้นไม้ของท่านให้เติบโตอย่างมั่นคง แตกกิ่งก้านสาขา ให้ความร่มเย็น เปรียบเสมือนกับสิ่งที่เรากำลังทำร่วมกันในวันนี้ ทั้งนี้ ก็เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ของประเทศชาติ และลูกหลานไทยในอนาคต ร่วมกันทำถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันด้วย ขอให้ทุกคนร่วมมือร่วมใจกัน ตั้งใจทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด

ขอบคุณนะครับ ขอบคุณ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น