บรรยากาศการไว้อาลัยและกราบสักการะพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง วันนี้ (29 มิ.ย.) ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 239 ตลอดทั้งวันยังคงมีประชาชนจากทั่วสารทิศทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพอย่างต่อเนื่อง
นายปราเมศ เหล็กเพ็ชร์ นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวภายหลังร่วมเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายพระบรมศพ ว่า พวกเราในฐานะตัวแทนสื่อมวลชนไทย ต่างรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่มีต่อวงการสื่อมวลชนอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะการที่พระองค์ท่านไม่ทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อเพิ่มโทษหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา หรือเพิ่มค่าเสียหายให้สูงกว่าเดิม ตามที่รัฐบาลสมัยนั้นเสนอในปี 2535 ซึ่งสื่อมวลชนทุกแขนง หากกระทำละเมิด จะต้องชดใช้ให้ผู้เสียหายในคดีหมิ่นประมาท อย่างต่ำ 4 ล้านบาท เมื่อไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย สภาและรัฐบาลขณะนั้นก็ไม่กล้ายืนยันใช้กฎหมายฉบับนี้ ทั้งนี้ หากประกาศใช้กฏหมายฉบับนั้น จะกลายเป็นอุปสรรค ขัดขวางการทำงานของสื่อ จะทำให้ไม่กล้าไปตรวจสอบใคร เนื่องจากหากพลาดพลั้งไป ต้องโดนโทษทั้งอาญาและแพ่งอย่างหนัก เพราะการทำหน้าที่ตรวจสอบของสื่อ คือประโยชน์ของประชาชน
นอกจากนี้ ตลอดระยะการครองราชย์ 70 ปี พระองค์มีพระราชประสงค์ให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข และอยู่ได้อย่างยั่งยืนโดยถ้วนหน้า จึงทรงงานอย่างหนัก พวกเราทุกคนต่างน้อมนำพระบรมราโชวาทที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีต่อสื่อมวลชนไทย ให้เสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีความเท็จ เป็นหลักจริยธรรมในการเป็นสื่อมวชนที่ดี และจะร่วมกันสืบสานพระราชปณิธาน ด้วยการทำให้คนไทยด้วยกันเข้าใจประเทศไทย ร่วมกันพัฒนาชุมชนสังคมและประเทศชาติต่อไปให้ยั่งยืน
น.ส.กานดา ร่วมเกตุ อายุ 27 ปี และ น.ส.จิตรลดา รุ่นเรือง อายุ 25 ปี ชาวนครราชสีมาที่มาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ร่วมกันกล่าวภายหลังจากได้เข้ากราบพระบรมศพว่า พักอยู่ย่านบางแค ออกเดินทางแต่เช้าตรู่เพื่อมาเข้าแถวรอเวลา 07.00 น. ในหลวง ร.9 ทรงเปรียบเสมือนพ่อคนหนึ่ง การได้มาน้อมรำลึกถึงพระองค์ในวันนี้เทียบไม่ได้กับที่ท่านทรงงานอย่างหนักมาตลอดพระชนม์ชีพ เสด็จพระราชดำเนินไปทุกที่ที่ยากลำบาก เพื่อพัฒนาพื้นที่และคุณภาพชีวิตราษฎร การที่ได้มาครั้งแรกตื่นเต้นแล้ว มาครั้งที่ 2 ก็ยังตื่นเต้นและตื้นตันใจ เพราะตั้งแต่เกิดไม่เคยมีโอกาสได้รับเสด็จใกล้ๆ เลย มีแต่ไปรอริมทางโบกธงขณะที่ขบวนเสด็จแล่นผ่าน แต่แค่นี้ก็ปลื้มใจมากแล้ว
"บรรยากาศการเข้ากราบสักการะพระบรมศพดูอบอุ่น ได้เจอผู้คนมากมายที่มาจากทั่วสารทิศแต่มีใจหนึ่งเดียวคือมาหาพ่อ ทำให้รู้ว่าคนไทยรักพระองค์แค่ไหน ที่โคราชมีโครงการพระราชดำริหลายอย่าง แต่ที่ประทับใจคือโครงการแก้มลิงบึงตาหลั่ว ในอำเภอเมือง ช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วม ใช้น้ำทำการเกษตรได้ในหน้าแล้ง นอกจากนี้ ยังปรับปรุงพื้นที่รอบๆ เป็นสวนสาธารณะและที่ออกกำลังกาย เป็นประโยชน์หลายด้าน ตอนนี้พวกเราสอบข้าราชการครูไว้ รอเรียกบรรจุตามลำดับอยู่ก็จดจำพระราชดำรัสของพระองค์เกี่ยวกับครูได้ดีว่า...เป็นครูใช่ไหม ฝากเด็กๆ ด้วย สอนให้เขาเป็นคนดี...ถ้าได้เรียกบรรจุอยากดำเนินตามคำสอนของท่าน หลายๆ อย่างที่พระองค์ทรงทำสะท้อนว่าทรงเป็นคนที่อยู่บนที่สูงแต่ก็ลงมาบนดินทรงคลุกคลีกับชาวบ้านอย่างไม่ถือพระองค์ ทำให้รู้ว่าพระองค์ทรงรักประชาชนมาก" น.ส.กานดา กล่าวด้วยความซาบซึ้ง
นายปราเมศ เหล็กเพ็ชร์ นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวภายหลังร่วมเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายพระบรมศพ ว่า พวกเราในฐานะตัวแทนสื่อมวลชนไทย ต่างรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่มีต่อวงการสื่อมวลชนอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะการที่พระองค์ท่านไม่ทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อเพิ่มโทษหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา หรือเพิ่มค่าเสียหายให้สูงกว่าเดิม ตามที่รัฐบาลสมัยนั้นเสนอในปี 2535 ซึ่งสื่อมวลชนทุกแขนง หากกระทำละเมิด จะต้องชดใช้ให้ผู้เสียหายในคดีหมิ่นประมาท อย่างต่ำ 4 ล้านบาท เมื่อไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย สภาและรัฐบาลขณะนั้นก็ไม่กล้ายืนยันใช้กฎหมายฉบับนี้ ทั้งนี้ หากประกาศใช้กฏหมายฉบับนั้น จะกลายเป็นอุปสรรค ขัดขวางการทำงานของสื่อ จะทำให้ไม่กล้าไปตรวจสอบใคร เนื่องจากหากพลาดพลั้งไป ต้องโดนโทษทั้งอาญาและแพ่งอย่างหนัก เพราะการทำหน้าที่ตรวจสอบของสื่อ คือประโยชน์ของประชาชน
นอกจากนี้ ตลอดระยะการครองราชย์ 70 ปี พระองค์มีพระราชประสงค์ให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข และอยู่ได้อย่างยั่งยืนโดยถ้วนหน้า จึงทรงงานอย่างหนัก พวกเราทุกคนต่างน้อมนำพระบรมราโชวาทที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีต่อสื่อมวลชนไทย ให้เสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีความเท็จ เป็นหลักจริยธรรมในการเป็นสื่อมวชนที่ดี และจะร่วมกันสืบสานพระราชปณิธาน ด้วยการทำให้คนไทยด้วยกันเข้าใจประเทศไทย ร่วมกันพัฒนาชุมชนสังคมและประเทศชาติต่อไปให้ยั่งยืน
น.ส.กานดา ร่วมเกตุ อายุ 27 ปี และ น.ส.จิตรลดา รุ่นเรือง อายุ 25 ปี ชาวนครราชสีมาที่มาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ร่วมกันกล่าวภายหลังจากได้เข้ากราบพระบรมศพว่า พักอยู่ย่านบางแค ออกเดินทางแต่เช้าตรู่เพื่อมาเข้าแถวรอเวลา 07.00 น. ในหลวง ร.9 ทรงเปรียบเสมือนพ่อคนหนึ่ง การได้มาน้อมรำลึกถึงพระองค์ในวันนี้เทียบไม่ได้กับที่ท่านทรงงานอย่างหนักมาตลอดพระชนม์ชีพ เสด็จพระราชดำเนินไปทุกที่ที่ยากลำบาก เพื่อพัฒนาพื้นที่และคุณภาพชีวิตราษฎร การที่ได้มาครั้งแรกตื่นเต้นแล้ว มาครั้งที่ 2 ก็ยังตื่นเต้นและตื้นตันใจ เพราะตั้งแต่เกิดไม่เคยมีโอกาสได้รับเสด็จใกล้ๆ เลย มีแต่ไปรอริมทางโบกธงขณะที่ขบวนเสด็จแล่นผ่าน แต่แค่นี้ก็ปลื้มใจมากแล้ว
"บรรยากาศการเข้ากราบสักการะพระบรมศพดูอบอุ่น ได้เจอผู้คนมากมายที่มาจากทั่วสารทิศแต่มีใจหนึ่งเดียวคือมาหาพ่อ ทำให้รู้ว่าคนไทยรักพระองค์แค่ไหน ที่โคราชมีโครงการพระราชดำริหลายอย่าง แต่ที่ประทับใจคือโครงการแก้มลิงบึงตาหลั่ว ในอำเภอเมือง ช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วม ใช้น้ำทำการเกษตรได้ในหน้าแล้ง นอกจากนี้ ยังปรับปรุงพื้นที่รอบๆ เป็นสวนสาธารณะและที่ออกกำลังกาย เป็นประโยชน์หลายด้าน ตอนนี้พวกเราสอบข้าราชการครูไว้ รอเรียกบรรจุตามลำดับอยู่ก็จดจำพระราชดำรัสของพระองค์เกี่ยวกับครูได้ดีว่า...เป็นครูใช่ไหม ฝากเด็กๆ ด้วย สอนให้เขาเป็นคนดี...ถ้าได้เรียกบรรจุอยากดำเนินตามคำสอนของท่าน หลายๆ อย่างที่พระองค์ทรงทำสะท้อนว่าทรงเป็นคนที่อยู่บนที่สูงแต่ก็ลงมาบนดินทรงคลุกคลีกับชาวบ้านอย่างไม่ถือพระองค์ ทำให้รู้ว่าพระองค์ทรงรักประชาชนมาก" น.ส.กานดา กล่าวด้วยความซาบซึ้ง