จากกรณี พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2560 โดยในมาตรา 51 ระบุว่า ให้บุคคล คณะบุคคล หรือนิติบุคคลทั้งภาครัฐและเอกชน ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมิน มีหน้าที่หักเงินได้พึงประเมินของผู้กู้ยืมเงิน ซึ่งเป็นพนักงาน หรือลูกจ้าง เพื่อชำระเงินกู้ยืมคืนตามจำนวนที่กองทุนแจ้งให้ทราบ ถ้าผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามวรรคหนึ่งไม่ได้หักเงินได้พึงประเมิน หัก และไม่ได้นำส่ง หรือนำส่งแต่ไม่ครบตามจำนวนที่กองทุนแจ้งให้ทราบ หรือหัก และนำส่งเกินกำหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินรับผิดชดใช้เงินที่ต้องนำส่งในส่วนของผู้กู้ยืมเงินตามจำนวนที่กองทุนแจ้งให้ทราบ และต้องจ่ายเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือนของจำนวนเงินที่ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินยังไม่ได้นำส่ง หรือตามจำนวนที่ยังขาดไปแล้วแต่กรณีนั้น
ล่าสุดนายปรเมศวร์ สังข์เอี่ยม ผู้อำนวยการฝ่ายคดีและบังคับคดี กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.) เปิดเผยว่า เรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างตรวจสอบ และรวบรวมข้อมูลของลูกหนี้ กยศ. ที่มีอยู่ 4.8 ล้านคน โดยจะประสานไปยังหน่วยงานราชการ และบริษัทเอกชน เพื่อทำเรื่องหักบัญชีเงินเดือนของลูกจ้างนำเงินส่งคืนกองทุน กยศ. ทั้งนี้จะเริ่มหักรายได้ลูกหนี้ กยศ. ที่เป็นข้าราชการ และรัฐวิสาหกิจก่อน ซึ่งมีข้าราชการที่เป็นลูกหนี้ กยศ.และค้างชำระหนี้ ทั้งสิ้น 2 แสนราย มูลหนี้ 8 หมื่นล้านบาท จากนั้นจึงจะประสานไปยังบริษัทเอกชนเพื่อหักรายได้ของลูกจ้าง โดยเชื่อว่าจะช่วยลดยอดหนี้ค้างชำระที่มีอยู่ร้อยละ 53 ของจำนวนลูกหนี้ค้างชำระทั้งหมด 1.9 ล้านราย มูลหนี้ 6.2 หมื่นล้านบาท
ล่าสุดนายปรเมศวร์ สังข์เอี่ยม ผู้อำนวยการฝ่ายคดีและบังคับคดี กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.) เปิดเผยว่า เรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างตรวจสอบ และรวบรวมข้อมูลของลูกหนี้ กยศ. ที่มีอยู่ 4.8 ล้านคน โดยจะประสานไปยังหน่วยงานราชการ และบริษัทเอกชน เพื่อทำเรื่องหักบัญชีเงินเดือนของลูกจ้างนำเงินส่งคืนกองทุน กยศ. ทั้งนี้จะเริ่มหักรายได้ลูกหนี้ กยศ. ที่เป็นข้าราชการ และรัฐวิสาหกิจก่อน ซึ่งมีข้าราชการที่เป็นลูกหนี้ กยศ.และค้างชำระหนี้ ทั้งสิ้น 2 แสนราย มูลหนี้ 8 หมื่นล้านบาท จากนั้นจึงจะประสานไปยังบริษัทเอกชนเพื่อหักรายได้ของลูกจ้าง โดยเชื่อว่าจะช่วยลดยอดหนี้ค้างชำระที่มีอยู่ร้อยละ 53 ของจำนวนลูกหนี้ค้างชำระทั้งหมด 1.9 ล้านราย มูลหนี้ 6.2 หมื่นล้านบาท