นางผุสดี ตามไท รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยนายสมพงษ์ เวียงแก้ว ผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์น้ำบริเวณถนนทรงวาด เขตสัมพันธวงศ์ โดยเฉพาะบ้านเรือนประชาชนที่รุกล้ำริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
นางผุสดี กล่าวว่า สถานการณ์ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาขณะนี้ไม่น่ากังวล ซึ่งในระหว่างนี้กรุงเทพมหานครได้เร่งเจรจากับเจ้าของบ้านเรือนที่รุกล้ำริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อดำเนินการสร้างเขื่อนแนวคันกั้นน้ำถาวร ระยะทางประมาณ 200 เมตร ความสูง 2.8 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง เพื่อป้องกันน้ำท่วมเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ในระยะยาว ซึ่งกรุงเทพมหานครได้ก่อสร้างเขื่อนถาวรริมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้ง 2 ฝั่งแล้วเสร็จ รวมระยะทางกว่า 77 กิโลเมตร แต่ยังมีพื้นที่ฟันหลอที่ไม่สามารถก่อสร้างได้อีก 5 กิโลเมตร เนื่องจากมีท่าเรือโดยสารอยู่มากกว่า 30 ท่า รวมถึงการขนส่งสินค้าของภาคเอกชน กรุงเทพมหานครจึงนำกระสอบมา สร้างแนวคันกั้นน้ำชั่วคราว
ขณะที่นายสมพงษ์ กล่าวว่า สถานการณ์ฝนที่อาจตกหนักตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (14 ต.ค.) จนถึงวันที่ 17 ตุลาคม ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ไว้ กรุงเทพมหานครได้วางแผนดำเนินงานเฝ้าระวังจุดเสี่ยงกว่า 20จุด อย่างใกล้ชิด ซึ่งช่วงปลายฤดูฝนในพื้นที่ฝั่งธนบุรีจะได้รับผลกระทบหนักสุด โดยเตรียมกระสอบทรายไว้มากกว่า 3 ล้านใบ เพื่อรองรับน้ำเหนือและน้ำทะเลหนุนสูง ซึ่งกรุงเทพมหานครมีศักยภาพในการรองรับน้ำได้อยู่ที่ 3,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
นางผุสดี กล่าวว่า สถานการณ์ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาขณะนี้ไม่น่ากังวล ซึ่งในระหว่างนี้กรุงเทพมหานครได้เร่งเจรจากับเจ้าของบ้านเรือนที่รุกล้ำริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อดำเนินการสร้างเขื่อนแนวคันกั้นน้ำถาวร ระยะทางประมาณ 200 เมตร ความสูง 2.8 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง เพื่อป้องกันน้ำท่วมเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ในระยะยาว ซึ่งกรุงเทพมหานครได้ก่อสร้างเขื่อนถาวรริมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้ง 2 ฝั่งแล้วเสร็จ รวมระยะทางกว่า 77 กิโลเมตร แต่ยังมีพื้นที่ฟันหลอที่ไม่สามารถก่อสร้างได้อีก 5 กิโลเมตร เนื่องจากมีท่าเรือโดยสารอยู่มากกว่า 30 ท่า รวมถึงการขนส่งสินค้าของภาคเอกชน กรุงเทพมหานครจึงนำกระสอบมา สร้างแนวคันกั้นน้ำชั่วคราว
ขณะที่นายสมพงษ์ กล่าวว่า สถานการณ์ฝนที่อาจตกหนักตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (14 ต.ค.) จนถึงวันที่ 17 ตุลาคม ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ไว้ กรุงเทพมหานครได้วางแผนดำเนินงานเฝ้าระวังจุดเสี่ยงกว่า 20จุด อย่างใกล้ชิด ซึ่งช่วงปลายฤดูฝนในพื้นที่ฝั่งธนบุรีจะได้รับผลกระทบหนักสุด โดยเตรียมกระสอบทรายไว้มากกว่า 3 ล้านใบ เพื่อรองรับน้ำเหนือและน้ำทะเลหนุนสูง ซึ่งกรุงเทพมหานครมีศักยภาพในการรองรับน้ำได้อยู่ที่ 3,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที